-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
หลังจากอาจารย์เซน บันเกอิ มรณภาพ ชายตาบอดคนหนึ่งผู้อาศัยใกล้วัดบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า "ข้าฯตาบอด มองไม่เห็นสีหน้าแววตาใคร ข้าฯจึงต้องวัดนิสัยของคนจากน้ำเสียง
ปกติแล้วเมื่อข้าฯได้ยินเสียงแสดงความยินดีต่อความสุขหรือความสำเร็จของคนอื่น ข้าฯก็ได้ยินน้ำเสียงของความอิจฉา เมื่อได้ยินเสียงปลอบโยนต่อความเคราะห์ร้ายของคนอื่น ข้าฯก็ได้ยินน้ำเสียงของความยินดีด้วย
ทว่าน้ำเสียงของอาจารย์บันเกอิจริงใจเสมอ เมื่อท่านเอ่ยคำแสดงความสุข ข้าฯก็มิได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความสุข เมื่อท่านกล่าวคำแสดงความเศร้าเสียใจ ข้าฯก็ได้ยินแต่เสียงของความเศร้าเสียใจจริง ๆ"
วินทร์ เลียววาริณ
19-10-25.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=61- แชร์
- 27
-
ไอน์สไตน์แลบลิ้น!
ทั่วโลกเคยเห็นภาพนี้ แต่ไม่ทุกคนรู้ว่าภาพนี้มีที่มาอย่างไร
ไอน์สไตน์เกิดวันที่ 14 มีนาคม ในวันคล้ายวันเกิด 72 ปีเมื่อปี 1951 เพื่อน ๆ จัดงานให้เขาที่ The Princeton Club มิดทาวน์ แมนฮัตตัน นิวยอร์ก
The Princeton Club ก่อตั้งโดยสมาคมศิษย์เก่าพรินซตัน ตั้งแต่ปี 1866 เนื่องจากไอน์สไตน์ทำงานที่สถาบัน Institute for Advanced Study มหาวิทยาลัยพรินซตัน พวกเขาจึงจัดงานวันเกิดที่นั่น
งานเลี้ยงผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ไอน์สไตน์มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญจำนวนหนึ่ง คือบรรดานักข่าวและช่างภาพ รุมล้อมจะถ่ายรูปและสัมภาษณ์เขา
หลังงานเลี้ยงเลิก ไอน์สไตน์ก็ติดรถของอดีตผู้อำนวยการสถาบัน ดร. แฟรงก์ เอเดอล็อตต์ และภรรยากลับ ไอน์สไตน์นั่งกลางระหว่างคนทั้งสอง แสงแฟลชสว่างวาบตลอดเวลา ไอน์สไตน์รู้สึกหงุดหงิด บอกบรรดาช่างภาพว่า “พอเถอะ ๆ”
ใครคนหนึ่งขอให้เขา “ช่วยยิ้มหน่อย”
ไอน์สไตน์ไม่ได้ยิ้ม แต่แลบลิ้นออกมาแทน
ช่างภาพชื่อ อาร์เธอร์ แซส จากสำนักข่าว UPI (United Press International ) มือไว เป็นคนเดียวที่กดภาพนั้นไว้ทัน
บรรณาธิการและเจ้าหน้าที่ในสำนักข่าว UPI ครุ่นคิดหนัก ปรึกษากันว่าสมควรเผยแพร่ภาพนี้หรือไม่ เนื่องจากไอน์สไตน์เป็นบุคคลสำคัญระดับโลก การเสนอภาพเล่น ๆ แบบนี้ออกสื่ออาจไม่เหมาะสม
ในที่สุดบรรณาธิการก็ตัดสินใจตีพิมพ์ เหตุผลหนึ่งอาจเพราะไอน์สไตน์เป็นคนสนุก มีอารมณ์ขัน ไม่เคร่งครัด ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์
ตลอดหลายสิบปีในสหรัฐฯ นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้นี้ไม่ถือตัว ไม่หวีผม สวมเสื้อผ้าแบบไม่แยแสสายตาใคร บางครั้งสวมรองเท้าแตะสีชมพูให้สัมภาษณ์
เล่ากันว่าเขาเคยบอกว่าเขามีไอเดียหนึ่งที่ดีพอ ๆ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพ นั่นคือระหว่างที่ต้มน้ำแกง ก็หย่อนไข่หนึ่งใบลงไปด้วย ก็สามารถต้มไข่โดยไม่ต้องใช้หม้ออีกใบหนึ่ง
ภาพไอน์สไตน์แลบลิ้นเผยแพร่ไปทั่วโลก
ใคร ๆ ก็ชอบภาพนี้ และเรียกรอยยิ้มให้ทุกคนที่เห็นภาพ
ภาพนี้ทำให้ไอน์สไตน์เป็นดาราทันที
ไอน์สไตน์ชอบภาพถ่ายนี้มาก จนขอให้ทางสำนักข่าวช่วยอัดรูปมาให้จำนวนหนึ่ง โดยครอปภาพเฉพาะใบหน้าเขา เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของครอบครัว Aydelotte
เขาเซ็นชื่อในภาพ ส่งให้เพื่อน ๆ และคนสนิทแบบขำ ๆ ต่อมาก็ยังทำบัตรอวยพรด้วย
เล่ากันว่าไอน์สไตน์ส่งภาพนี้ใบหนึ่งไปให้กิ๊กของเขา โจฮันนา แฟนโตวา เขียนว่า “ภาพนี้สะท้อนมุมมองทางการเมืองของผม”
ทว่าในความจริงภาพนี้สะท้อนอีกด้านหนึ่งของไอน์สไตน์ว่าเป็นคนสนุก มีอารมณ์ขัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีมาดเคร่งขรึมใด ๆ
ใครบอกว่าคนที่ทำงานเคร่งเครียดจะต้องเคร่งเครียด?
ทำไมเราจะต้องรักษาภาพลักษณ์เคร่งขรึมของเราจนกระดิกตัวไม่ได้?
ถึงวันนี้ เมื่อเอ่ยชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หลายคนไม่ได้นึกถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพ หรือสมการ E = mc2 แต่นึกถึงภาพเขาแลบลิ้น
วินทร์ เลียววาริณ
21-10-25จากหนังสือ ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์
สารคดีเกี่ยวกับวิถีชีวิตของไอน์สไตน์ มุมมองต่อโลกและชีวิต + ปรัชญาต่างๆ บางบทความอาจเปลี่ยนชีวิตคุณ
21 บทความ ราคา 300 = บทความละ 14.2 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
https://www.winbookclub.com/store/detail/240/ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์มีโปรโมชั่นพิเศษไอน์สไตน์ + เล่มอื่น
Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/6KgvYw47A4?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
ในงานหนังสือ ผู้อ่านบางคนหลงเข้ามาถามบางคำถามเกี่ยวกับมนุษย์ ก็ถูกผมจับเล็กเชอร์เรื่องจักรวาลวิทยา!
เหตุผลของผมคือ หลายเรื่องบนโลกเราไม่อาจเรียนรู้ได้ครบถ้วน หากไม่มองจากมุมของจักรวาล
เช่นคำถามว่าเราเกิดมาทำไม
ในดาราจักรทางช้างเผือกมีดวงดาวหลายแสนล้านดวง หนึ่งในนั้นคือดวงอาทิตย์ของเรา อาศัยอยู่แถบ ‘ชานเมือง’ ของทางช้างเผือก อายุของมันคือห้าพันล้านปี ถือกำเนิดมาจากธุลีดาวที่เป็นซากศพของบรรพบุรุษดวงดาวนับหมื่นล้านปีก่อนหน้า ถักทอขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ รายล้อมด้วยเศษซากเก่าของดวงดาวซึ่งกระทบชนกันตลอดเวลาในช่วงวัยทารกของระบบสุริยะ ในที่สุดก็เหลือเพียงไม่กี่กลุ่มก้อนซึ่งค่อย ๆ เกาะกลุ่มใหญ่ขึ้น ประกอบเป็นดาวเคราะห์ดวงต่าง ๆ หมุนวนรอบดวงอาทิตย์ โลกเราเป็นหนึ่งในนั้น
ในช่วงอายุสี่พันหกร้อยล้านปีของโลก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งถือกำเนิดไม่กี่ร้อยล้านปีนี้เอง มนุษย์วานรตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินสองขาเมื่อไม่กี่ล้านปีก่อน ส่วนมนุษย์สมัยใหม่เพิ่งถือกำเนิดเพียงสองแสนปีนี้เอง และเริ่มสร้างอารยธรรมราวหนึ่งหมื่นปีก่อน
การกำเนิดตัวเราคือความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของจักรวาล! จากซากธุลีดาวกลายมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของเราทุก ๆ คนในโลกมาจากการประกอบปรุงแต่งเข้าด้วยกันของอะตอมเดียวกับที่เคยเป็นดวงดาว เคยเป็นดาวเคราะห์ เคยเป็นดาวหาง เคยร่อนเร่ในอวกาศลึก เคยเป็นต้นไม้ ก้อนหิน แม่น้ำ มหาสมุทร อากาศ และปรุงแต่งต่อมาเป็นชีวิต ความคิด อารมณ์ จิตใจ และ ‘ตัวกู-ของกู’ นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่ทุกชีวิตในจักรวาลพานพบ เราแต่ละคนคือปาฏิหาริย์แห่งจักรวาล เราแต่ละคนมีโอกาสใช้ชีวิตแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกอื่นหรือดาราจักรอื่น ๆ ไม่มี
ในจักรวาลนี้ มีแต่มนุษย์ที่มีรูปแบบชีวิตเป็นเอกลักษณ์เช่นที่เป็นอยู่นี้ และในบรรดามนุษย์ร่วมเจ็ดพันล้านคน มี ‘ตัวเรา’ เพียงคนเดียวที่มีเอกลักษณ์อย่างนี้ เราคือปาฏิหาริย์!
และในเมื่อเราแต่ละคนคือปาฏิหาริย์ เราทุกคนทุกชีวิตเป็นญาติพี่น้องกัน เราจงยินดีกับการมีชีวิตของเรา เราสมควรเฉลิมฉลองการดำรงอยู่ของเรา มองโลกอย่างรื่นรมย์ ไม่ใช่บ่นทุกสิ่งที่ขวางหน้า เรารักสรรพสิ่งรอบตัว อากาศที่เราหายใจ อาหารที่เรากิน ภาพต่าง ๆ ที่เรามองเห็น เสียงต่าง ๆ ที่เราได้ยิน เรารักษาโลกเพราะโลกของเราเกิดขึ้นอย่างนี้เพียงครั้งเดียว และมันเป็นบ้านของเรา เราใช้ทุก ๆ วินาทีบนโลกนี้ ในรูปแบบชีวิตเช่นนี้อย่างดีที่สุด เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวของเราในมหาจักรวาล หมดแล้วหมดเลย ชีวิตหน้าหรือ ‘ชาติหน้า’ ของเราอาจจะเป็นมด แมลง ปลา แบคทีเรีย ริดสีดวงทวาร ก้อนอิฐ หรือกระทั่งมนุษย์ต่างดาว เราฉลองวันเกิดของเราเพื่อระลึกถึงการดำรงอยู่ชั่วคราวของเราบนโลกนี้ ในรูปแบบชีวิตนี้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่พิเศษสุดจริง ๆ
เมื่อมองโลกด้วยสายตาของจักรวาล เราก็คือปาฏิหาริย์!
นี่เองที่บอกว่า เราอาจมองเรื่องของเราจากมุมมองของมนุษย์อย่างเดียวอาจไม่พอ
และบางทีเมื่อเรามองมนุษย์จากมุมนี้ เราอาจรักชีวิตและใช้มันให้คุ้มค่ากับชั่วเวลาสั้นๆ นี้
วินทร์ เลียววาริณ
21-10-25บางท่อนจาก ชีวิตคือปาฏิหาริย์! สั่งซื้อ https://www.winbookclub.com/store/detail/103/ชีวิตคือปาฏิหาริย์!
1 วันที่ผ่านมา -
ในรอบ 20 ปีนี้ งานหนังสือมีนักเขียนจำนวนหนึ่งมาเปิดบูธขายหนังสือเอง และเป็นพื้นที่เชื่อมสัมพันธ์กับลูกค้า งานหนังสือเป็นโอกาสเดียวที่จะพบนักอ่าน แบบต่อหน้าต่อตา
จำนวนนักเขียนที่ใช้โมเดลเขียนเองขายเองลดลงเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือไม่กี่คน
ประการหนึ่งเพราะรายได้ไม่คุมค่าบูธ
ประการหนึ่งเพราะงานหนังสือกินแรงมาก
ต้องทำทุกอย่าง จัดการเรื่องบูธ เรื่องการขนส่ง เรื่องคน และพบปะผู้อ่าน
ต้องสวมหมวกหลายใบ
นักเขียนหลายคนก็เป็นพวก introvert ไม่ค่อยอยากเจอพื้นที่ที่คนมาก เสียงดังอยู่แล้ว
งานหนังสือสิบกว่าวันจึงทำให้หมดแรง
นี่จบงานหนังสือ ผมก็ต้องพักฟื้นอีกหลายวัน เพราะในช่วงงาน ระบบต่างๆ รวนหมด เขียนงานไม่ได้
อีกประการ อายุก็เพ่ิมขึ้นทุกปี ร่างกายถดถอยลงไปเรื่อยๆ จบงานหนังสือก็ไม่สบาย
คงต้องปรับตัว ปีหน้าอาจต้องลดรอบลง ไม่งั้นจะเจ็บป่วยง่ายขึ้น
บางครั้งผมเคยคิดเลิกกิจกรรมร่วมงานหนังสือ แต่เมื่อได้ยินบางคนบอกว่ามางานหนังสือเพื่อเจอนักเขียน มาพูดคุยกันเท่านั้น ก็รู้สึกหายเหนื่อย
ครับ ก็คงยังจัดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ไม่ไหวแล้ว ก็ต้องเลิกรา ตามสัจธรรม "เปิดบูธ ตั้งอยู่ ดับไป"
วินทร์ เลียววาริณ
20-10-251 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้คุยกับผู้อ่านเรื่องกิมย้งบ่อย บางคนไม่เคยได้ยินชื่อนักเขียนคนนี้มาก่อน
ผมมักยกคำของเหง่ยคังมาพูด
“การไม่อ่านนิยายของกิมย้งถือว่าเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของชีวิต”
เหง่ยคังเป็นเพื่อนของกิมย้ง และเป็นนักเขียน-นักเขียนบทภาพยนตร์มือดีคนหนึ่ง
ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอ่านงานของกิมย้งเรื่องละหลายรอบ และยังบ้าคลั่งขนาดไปหาฉบับภาษาจีนมาอ่านอีก แต่ไปไม่รอด เพราะภาษาแกยากมาก ยากกว่าของโก้วเล้งหลายเท่า
ตอนที่กิมย้งเขียนเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ต้องไปต่างประเทศ ส่งต้นฉบับไม่ทัน ก็ฝากให้เหง่ยคังเขียนให้อยู่บทสองบท ปรากฏว่าเขาทำให้ตัวละคร ‘อาจู’ ตาบอด ทำให้กิมย้งต้องตกบันไดพลอยโจน เพราะแก้ไม่ได้แล้ว!
นักเขียนคนไหนจะไปที่ไหน ก็ควรเขียนต้นฉบับล่วงหน้าไว้บ้าง ขืนฝากเพื่อนเขียนให้ เมื่อกลับมาอาจพบว่าตัวละครที่รักอาจตายไปเรียบร้อยแล้ว
วินทร์ เลียววาริณ
19-10-25(ขอบคุณภาพวาดโดย พีระ โภคทวี)
2 วันที่ผ่านมา -
2 วันที่ผ่านมา