-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้เล่าข่าวญี่ปุ่นยอมให้สหรัฐฯตั้งฐานทัพในประเทศ เพื่อเป็นยันต์กันผีต่อจีนและเกาหลีเหนือ
ญี่ปุ่นมีเหตุผลเหมือนไทยสมัยก่อน กลัวคอมมิวนิสต์
ผู้อ่านเคยได้ยินวลี Domino Effect ไหมครับ มันหมายถึงหากเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ลาวและกัมพูชาก็จะล้มตาม ต่อด้วยไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ แหลมทองจะกลายเป็นพื้นที่สีแดง
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงยอมให้สหรัฐฯมาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา และอีกหลายที่ ใช้เป็นฐานบินไปทิ้งระเบิดที่เวียดนามเหนือ
ผมเขียนเรื่องนี้ในรูปนิยาย คือ 17 องศาเหนือ ลองอ่านดู (เรื่องนี้พระเอกคือ ตุ้ย พันเข็ม แห่ง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน)
...............
“สงครามเวียดนามไม่ได้เกิดที่แผ่นดินไทยก็จริง แต่เราถูกลากเข้าไปอยู่ในวังวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องร่วมกับอเมริกา เพราะนโยบายของไทยเราชัดเจนแต่ต้นแล้วว่าต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เราจำเป็นต้องรบกับเวียดนามเหนือ ประเทศไทยกลายเป็นที่ตั้งฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม อเมริกาปรนเปรอเราด้วยเงินทองและความช่วยเหลือต่าง ๆ มากเสียจนเราถอนตัวไม่ขึ้น...”
พล.อ. รังสีกล่าวว่า “...ดังนั้นไม่เพียงแต่เราให้อเมริกามาสร้างฐานทัพที่นี่ เรายังส่งทหารไปรบกับเวียดกง เราฝึกทหารให้เวียดนามใต้ จะว่าไปแล้ว เราก็คือศัตรูอันดับต้น ๆ ของเวียดนามเหนือ...”
ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับอเมริกาสืบย้อนไปนานก่อนสงครามเวียดนาม เมื่อเกิดสงครามเกาหลีขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลไทยส่งกองทหารสี่พันคนและข้าวสารสี่หมื่นตันไปช่วยสนับสนุน ทำให้สหรัฐฯมองว่าไทยเป็นหุ้นส่วนที่จริงใจ หกเดือนต่อมาสหรัฐฯก็ให้ความช่วยเหลือทางทหารมากมาย ก่อตั้งกองอำนวยการที่ปรึกษาทางการทหาร ช่วยฝึกทหารไทย ตัวเลขความช่วยเหลือทางทหารสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นมูลค่า 2.5 เท่าของงบประมาณทางทหารของไทยในเวลานั้น
ตั้งแต่ พ.ศ. 2494-2515 กองทัพบกและกองทัพอากาศไทยปรับปรุงกองทัพด้วยเงินช่วยเหลือมากมายจากสหรัฐอเมริกา มูลค่าความช่วยเหลือทางการทหารจากสหรัฐฯมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับร้อยละ 54 ของงบประมาณกระทรวงกลาโหม
ในฐานะตำรวจ ตุ้ย พันเข็ม รับรู้ความช่วยเหลือเช่นกัน หน่วยซีไอเอของอเมริกาเข้ามาช่วยฝึกตำรวจไทยเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ หน่วยงาน USAID เข้ามาช่วยสร้างถนนเข้าสู่หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง เขารู้ว่าครึ่งหนึ่งของเงินช่วยเหลือที่สหรัฐฯให้ประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2508-2512 เป็นเงินที่ให้กรมตำรวจ นับเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ กรมตำรวจได้รับรถถัง รถหุ้มเกราะ เฮลิคอปเตอร์ เรือ และอาวุธทันสมัยอื่น ๆ อีกทั้งการฝึกฝนจากซีไอเอ นี่เองที่ทำให้เขารู้จักซีไอเอเป็นครั้งแรก
ตุ้ย พันเข็ม จำได้ ในปี พ.ศ. 2507 ประเทศไทยในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร กลายเป็นฐานฝึกกำลังทหารของเวียดนามใต้ เมื่อได้รับการร้องขอจากประธานาธิบดีตรันวันมินห์แห่งเวียดนามใต้ให้ช่วยฝึกหัดนักบินของกองทัพอากาศ
ต่อมาไทยส่งกำลังทหารอากาศไปสนับสนุนกองทัพอากาศเวียดนามใต้ คือหน่วยบินวิคตอรี (Victory Wing Unit) ทั้งนักบินและช่างอากาศ เครื่องบินลำเลียงแบบ ซี-47 ตามมาด้วยการจัดตั้งกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหารที่กรุงไซ่ง่อน ในเดือนพฤศจิกายน 2508 ทำหน้าที่ประสานงานหน่วยบินวิคตอรีกับฝูงบินลำเลียงที่ 415 ของเวียดนามใต้
แล้วความช่วยเหลือเวียดนามใต้ก็ทวีขึ้น ในปี พ.ศ. 2509 ไทยส่งกำลังทั้งทหาร แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เปลี่ยนเวียนกันหลายผลัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 ไทยส่งกำลังทหารภาคพื้นดินไปสมทบที่เวียดนาม รหัสนาม จงอางศึก เป็นกองกำลังหน่วยแรกของไทยซึ่งไปปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม ผ่านไปสามเดือน จงอางศึกขยายขอบเขตจากกรมเป็นกองพล ใช้ชื่อว่า กองพลทหารอาสาสมัคร ในไซ่ง่อนจัดตั้งกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด
“ในตอนนั้นกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเครื่องบินอเมริกาซึ่งโจมตีเวียดนามเหนือ บินไปจากฐานทัพเจ็ดแห่งในไทย ดอนเมือง อู่ตะเภา ตาคลี โคราช อุบลฯ อุดรฯ นครพนม ตอนนั้นผมเห็นเครื่องบิน บี-52 ขึ้นฟ้าตลอดเวลา อาทิตย์ละพันเที่ยว บินไปทิ้งระเบิดปูพรมถล่มเวียดนาม กัมพูชา และลาว เป้าหมายหลักคือฮานอยและไฮฟอง ระหว่างปี 2508 จนถึงปี 2516 เมื่อพวกเขายุติการทิ้งระเบิด บี-52 บินไปทิ้งระเบิดมากกว่าแสนเที่ยว สามเท่าของระเบิดที่ใช้ทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือกว่าเจ็ดล้านตัน มากจนผู้บัญชาการทหารอากาศของสหรัฐอเมริกา เคอร์ติส เลอเมย์ บอกว่า ‘เราจะถล่มพวกมันจนกลับสู่ยุคหิน’!”
ในปี พ.ศ. 2504 กองทัพเรือไทยดำริจะสร้างสนามบินแห่งใหม่ กองบัญชาการทหารสูงสุดได้อนุมัติให้สร้างที่หมู่บ้านอู่ตะเภา ตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยอง สร้างรันเวย์ลาดยางยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร เป็นช่วงต้นของสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาอยากย้ายฐานบินจากเกาะกวมมาใกล้เวียดนาม เพื่อให้ทิ้งระเบิดสะดวก ก็เจรจากับรัฐบาลไทยขอใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ สนามบินอู่ตะเภาของไทยมีทำเลที่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2508 ฝ่ายไทยยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ตกลงให้สหรัฐอเมริกาปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานบินโจมตีเวียดนามเหนือ
สหรัฐอเมริกายุคประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน กระโจนเข้าสู่สงครามแบบเต็มตัว สูงสุดในปี พ.ศ. 2511 ส่งทหารเข้าเวียดนามกว่าห้าแสนคน ทิ้งระเบิดสารพัดชนิดถล่มเวียดนาม ถล่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่ได้หากฐานบินไม่ได้อยู่ในไทย จึงไม่แปลกที่เวียดนามเหนือไม่ยอมนิ่งเฉย การทำลายสนามบินอเมริกาในไทยจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากเครื่องบินพวกนี้ถูกทำลาย ก็เท่ากับลดการทิ้งระเบิดที่เวียดนามเหนือได้ทันที เรารู้ว่าพวกนั้นส่งสายลับเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่ก่อนที่อเมริกาจะส่งทหารมาเสียอีก พวกเวียดนามเหนือเป็นนักยุทธศาสตร์ เดินหมากรุกตั้งแต่เรายังไม่พร้อม พวกนั้นรู้ตั้งแต่การแบ่งประเทศเวียดนามที่เจนีวาแล้วว่า สงครามใหญ่กำลังจะมา เรากำลังเจอสงครามรูปแบบใหม่กับเวียดนามเหนือ พวกนั้นไม่รบกับเราซึ่ง ๆ หน้า พวกนั้นถนัดสงครามจรยุทธ์และบ่อนทำลาย เป็นยุทธวิธีที่พวกนั้นทำมาตลอดสงครามเวียดนามจนเอาชนะอเมริกามาได้แล้ว ตรงตามคำของฟามวันดงที่ว่า ‘เราตีพวกอเมริกันให้ตกทะเล’!...
“คุณตุ้ยก็รู้ว่า สงครามจรยุทธ์ราคาถูกกว่าสงครามตามรูปแบบเดิม กำลังและสรรพาวุธของพวกเวียดกงสู้เราไม่ได้ การรบแบบเผชิญหน้าแพงกว่า พวกเขารบจนเงินหมด ต้องพึ่งเงินช่วยเหลือจากโซเวียตและจีน ไม่รบต่อก็ไม่ได้ พวกนั้นส่งสายลับมา ซ่อนอยู่ในรูปพ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ ทำลายแนวป้องกันด่านต่าง ๆ ของศัตรู เพื่อให้กำลังหลักสามารถบุกโจมตีฐานศัตรูได้ พวกเขาทำงานอย่างเป็นระบบ พวกนี้ก็คือดักกง”
เขาได้ยินชื่อดักกงไม่นานหลังจากทหารอเมริกันเริ่มเข้ามาประจำการในไทย หน่วยปฏิบัติการแซปเปอร์ หรือหน่วยรบพิเศษของเวียดนามเหนือ - Vietnam Special Force หรือที่เรารู้จักกันในนาม ดักกง
“แซปเปอร์เป็นหน่วยรบพิเศษ หรือทหารชุดล่าสังหาร หลายประเทศมีหน่วยรบนี้ แต่สำหรับเวียดนามเหนือ คัดสรรคนสำหรับหน่วยดักกงอย่างละเอียด ไม่เลือกคนตัวสูงใหญ่ คัดแต่คนทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว หลายคนเป็นพรานชาวพื้นเมืองซึ่งเก่งเรื่องสะกดรอย และต้องมีคนที่รู้ภาษาไทยดี บางคนก็เป็นพวกม้ง ลัวะ คุณตุ้ยก็รู้ ดักกงแห่งเวียดนามเหนือเชี่ยวชาญการรบระดับสุดยอด เป็นหน่วยรบที่ฝึกมาเหมือนพวกนินจา ทำงานใหญ่ด้วยกำลังกลุ่มเล็ก เคลื่อนไหวได้อย่างไร้ร่องรอยเหมือนปิศาจ เหมือนนินจา พวกนี้ถูกฝึกมาให้ใช้อาวุธสงครามได้ทุกชนิด ชำนาญเรื่องวัตถุระเบิด การก่อวินาศกรรม การต่อสู้แบบประชิดตัว การซุ่มโจมตี เป็นกองกำลังที่เก่งที่สุดในการทำสงครามจรยุทธ์ ถูกฝึกมาให้อดทนอย่างยิ่งยวด ทนต่อการทรมานทุกรูปแบบ พวกนี้มองว่าพวกตนกำลังทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ รักษาบ้านเกิดของตัวเองจากจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน แน่นอนคำว่า ‘จักรวรรดินิยมอเมริกา’ รวมถึงไทยด้วย...”
“ในคืนวันที่ 30 มกราคม ผมประจำการที่ค่ายรามสูร เย็นนั้นได้ยินเสียงระเบิดและปืน หน่วยดักกงสวมชุดดำหลายสิบคนโจมตีค่ายรามสูร ผมสั่งให้กำลังทหารของผมยิงต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ทั้งฝ่ายเราและอเมริกาเสียกำลังคนไปหลายคน...
“ผมติดต่อกับฐานทัพอู่ตะเภาทันที เพราะถ้ามันเกิดขึ้นที่อุดรฯ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นที่อู่ตะเภา ปรากฏว่าไม่มีใครรับสาย ผมรู้ในชั่วโมงต่อมาว่าฐานทัพอู่ตะเภาก็ถูกโจมตีเช่นกันในเวลาเดียวกัน ปรากฏว่าดักกงแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกลอบเข้าไปในค่ายรามสูร ทีมที่สองโจมตีฐานบินอู่ตะเภา เป้าหมายหลักคือก่อวินาศกรรมเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 พวกนั้นวางแผนรัดกุม โจมตีทั้งสองฐานพร้อมกัน เป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า ยุทธการดอกไม้บาน โจมตีแบบฉับพลันจากทุกด้าน ฝ่ายอเมริกาและไทยในค่ายทหารตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าศัตรูจะกล้าลูบหนวดเสือถึงที่...
“จนถึงเวลาเที่ยงคืน เราจึงควบคุมสถานการณ์ได้ ฝ่ายฐานทัพอเมริกายอมรับว่าทหารอเมริกันเสียชีวิตไปสิบคน บาดเจ็บยี่สิบกว่าคน หมาตายไปสองตัว ส่วนฝ่ายเราตายไปเจ็ดคน พวกเขารบอย่างกล้าหาญ”
ตุ้ย พันเข็ม เงียบไป สะท้อนใจอยู่ภายใน
“พวกดักกงตายไปสิบกว่าคน แต่ก็สร้างความเสียหายให้ฐานทัพมาก บี-52 เสียหายไปสองลำ หลังเหตุการณ์นั้น เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 หยุดบินช่วงหนึ่ง อเมริกากับไทยปิดข่าวนี้เป็นความลับ แต่ก็ปิดไม่อยู่ เพราะเสียงปืนและระเบิดที่ดังต่อเนื่องออกไปนอกฐานทัพ รวมกับควันดำจากระเบิด อย่างไรก็ตาม ข่าวก็ไม่ได้เผยออกไปสู่สื่อ”
น.อ. สนั่นถาม “ทำไมครับ?”
“เพราะในวันเดียวกันนั้นเอง พวกดักกงก็โจมตีฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกาทั่วเวียดนามโดยพร้อมเพรียงกัน ก็คือยุทธการเต็ต...”
สงครามเวียดนามเข้มข้นขึ้นถึงขีดสูงสุดในปี 2511 ปีที่คอมมิวนิสต์ตอบโต้ด้วยยุทธการเต็ต หรือ The Tet Offensive คอมมิวนิสต์บุกถึงบ้าน ในวันที่ 30 มกราคม 2511 จู่โจมฐานทัพของอเมริกา เวียดนามใต้และพันธมิตรถึงหน้าบ้านพร้อมกัน อย่างคาดไม่ถึง นามปฏิบัติการนี้มาจากเทศกาลเต็ต - เต็ตเหวียนดาน หรือ เทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี เป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวเวียดนาม ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปีนั้นฝ่ายเวียดนามเหนือเลือกที่จะทำงานแทนการฉลองปีใหม่ จู่โจมฝ่ายใต้เป็นระลอกพร้อมกันทั้งประเทศ กำลังเวียดกงและกองทัพเวียดนามเหนือแปดหมื่นคน จู่โจมที่มั่นของฝ่ายใต้ในร้อยเมืองทั่วประเทศ เป็นแผนการที่ใหญ่ที่สุด กล้าที่สุด และเสี่ยงที่สุด การจู่โจมทำให้ฝ่ายใต้ตะลึงงันและรวนเร แต่ในที่สุดก็ตั้งหลักได้ และตีโต้กลับไป พวกดักกงก็สูญเสียมากเช่นกัน
แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางทหาร แต่ยุทธการเต็ตกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ชาวอเมริกันรู้แล้วว่าไม่คุ้มที่จะรบต่อไป แรงกดดันจากมหาชนทำให้สงครามจบลงเร็วขึ้น เพราะทุกวันสื่อฉายให้เห็นภาพความตายของทหารอเมริกัน ประชาชนเชื่อว่าวอชิงตันโกหก พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าอเมริกาจะเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามอีกทำไม ส่งสัญญาณถอนตัว ให้เวียดนามใต้รบเอง และค่อย ๆ ถอนตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516
และนี่ก็คือที่มาของการตั้งฐานทัพสหรัฐฯในไทย เพราะวลี Domino Effect
วินทร์ เลียววาริณ
19-2-240- แชร์
- 145
-
ราวสี่สิบปีมาแล้ว เพื่อนผมคนหนึ่งสวมเสื้อยืดแบรนด์เนม มีตราอะไรบางอย่างที่อกเสื้อ ถามเขาว่าตัวละเท่าไร เขาบอกว่าไม่กี่สิบบาท เพราะเป็นสินค้าริมถนนของปลอม ตอนนั้นเขามีธุรกิจของตัวเองแล้ว มีปัญญาซื้อเสื้อแบรนด์เนมของจริงแน่นอน แต่เขาซื้อสินค้าจากริมทาง ซึ่งทั้งหมดติดยี่ห้อดังทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงใส่ของปลอม ก็ดูเหมือนเขาใส่ของจริง
มันขึ้นอยู่กับคนสวม คนบางคนใช้สินค้าแบรนด์เนมของจริง คนอื่นก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นของจริง
ปัจจุบันเพื่อนคนนี้รวยมาก แต่ยังขับรถมือสอง สวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่มีอะไรในตัวที่เป็นแบรนด์เนม
ผมก็มีนิสัยคล้ายเพื่อนคนนี้ (แต่ความรวยเทียบไม่ได้!) จึงคบกันได้ ในชีวิตไม่เคยซื้อของแบรนด์เนมเพราะยี่ห้อเลย แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน ถ้าซื้อก็เพราะชอบดีไซน์จริงๆ บางครั้งยังแกะชื่อยี่ห้อออก
ตอนนี้ในวัยชรา ผมรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องนี้แล้ว ใครมีเงิน อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าใส่แบรนด์เนมแล้วสบายใจ ก็เอาเลย
แต่ในฐานะคนทำงานออกแบบ ผมไม่รู้สึกว่ากระเป๋าใบละหลายหมื่นหรือแสนจำนวนมากออกแบบดี ผมเห็นดีไซน์นาฬิกาเรือนละ 20-30 ล้านบางเรือนแล้วมองไม่ออกจริงๆ ว่ามันดีไซน์ดี ในความเห็นและรสนิยมส่วนตัว ถ้าเป็นงานดีไซน์แบบ minimalism ของ ดีเทอร์ รัมส์ จ่ายเป็นแสนยังว่าสมราคา
ช่วงสิบวันที่ผ่านมา มีข่าวชาวโลกพากันตกใจที่รู้ว่าสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกผลิตในเมืองจีน เราคนไทยคงเฉยๆ เพราะเรารู้มานานแล้วว่าจีนผลิตทุกอย่าง
วัตถุนิยมกลืนกินโลกมานานแล้ว แล้วค่อยๆ คืบคลานกลืนกินวิญญาณของคน มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากไม่รู้ว่า รสนิยมดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่อีโก้เป็นของแพง
สถานะในสังคมเป็นของชั่วคราว ท้ายที่สุดมันก็ back to basic เราใช้วัตถุที่หน้าที่ใช้สอย เก้าอี้ตัวละเก้าหมื่นหรือตัวละเก้าร้อย ก็นั่งได้เหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ความเหมาะสมและกาลเทศะ
อภิมหาเศรษฐีหลายคนในโลกโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัด ใช้นาฬิการาคาถูก ใช้รถยนต์ธรรมดา อยู่บ้านเก่า เพราะพวกเขาไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว
ค่าของคนไม่ได้พิสูจน์ด้วยยี่ห้อสินค้า มันพิสูจน์ด้วยสิ่งที่ทำ
ถ้าเรายังต้องพึ่งยี่ห้อรถยนต์ ยี่ห้อนาฬิกา ยี่ห้อเสื้อผ้าเพื่อแสดงว่าเราเป็น somebody ก็อาจสะท้อนว่าเรายังเป็น nobody
วินทร์ เลียววาริณ
1-5-250 วันที่ผ่านมา -
สวัสดีวันแรงงาน ขอให้มีความสุขครับ
0 วันที่ผ่านมา -
เช้าวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ประชาชนชาวไทยตื่นขึ้นมาพร้อมข่าวว่ารัฐบาลเก่าถูกโค่นแล้ว
คณะรัฐประหารคือกลุ่มทหารนอกราชการ นำโดย พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ น.อ. กาจ กาจสงคราม พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ. ถนอม กิตติขจร พ.ท. ประภาส จารุเสถียร ร.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เรียกกลุ่มของตนเองว่า คณะทหารแห่งชาติ
เช้าวันที่ ๘ พฤศจิกายน พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ หัวหน้าคณะรัฐประหาร แถลงต่อสื่อมวลชนถึงเหตุผลที่ก่อรัฐประหารด้วยน้ำตานองหน้าว่า “เรายึดอำนาจเพราะความจำเป็นจริง ๆ”
ทันใดนั้น พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ ก็ได้รับฉายาจากชาวบ้านว่า ‘วีรบุรุษเจ้าน้ำตา’ หรือ ‘บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล’
คณะทหารแห่งชาติแต่งตั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หมดบทบาททางการเมืองไปแล้ว เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งชาติ มีอำนาจควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ
คณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๒๔๙๐ ฉบับชั่วคราว หรือที่เรียกกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม เพราะหลวงกาจสงครามร่างไว้ล่วงหน้า แล้วนำไปซ่อนไว้ใต้ตุ่มในบ้าน เพราะกลัวว่าหากถูกตำรวจจับได้ จะต้องข้อหากบฏ
ผู้ก่อการตั้งใจให้จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ใครคนหนึ่งในที่ประชุมรัฐประหารกล่าวว่า “จังหวะยังไม่เหมาะสมที่จอมพล ป. จะเป็นนายกฯ”
“ทำไม?”
“จอมพล ป. ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ ยากที่ฝ่ายตะวันตกจะยอมรับรัฐบาลใหม่”
“งั้นเราก็ต้องหาตัวแทนขัดตาทัพไปก่อน”
นอมินีก็ไปลงที่พันธมิตรทางการเมือง
นายควง อภัยวงศ์ กับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถูกตามตัวโดยด่วนไปพบฝ่ายทหารและจอมพล ป. พิบูลสงคราม
คณะทหารให้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายควงถามความเห็นลูกพรรค หลายเสียงว่า “ไม่ควรรับ คุณควงจะเป็นเครื่องมือคณะรัฐประหารเปล่า ๆ”
แต่เสียงลูกพรรคส่วนใหญ่ให้รับ “เพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมือง”
จอมพล ป. ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “ผมไม่ยอมรับตำแหน่งการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากตำแหน่งทางทหารเท่านั้น แต่ทั้งนี้ผมจะอยู่ช่วยไปพลางก่อน จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาราษฎรเสร็จแล้ว”
เพื่อล้างคาวคณะรัฐประหารให้หมดไป นายควง อภัยวงศ์ ก็จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก นายควง อภัยวงศ์ จึงเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย
นายควงบอกคนใกล้ชิดว่า “หากราคาสินค้าไม่ลดลงมา ผมตายแน่”
ผ่านไปไม่กี่เดือน ราคาสินค้าก็ยังไม่ลง
ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๙๑ นายทหารสี่นายไปหานายควง อภัยวงศ์ ที่บ้าน หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “กระผมในนามของคณะรัฐประหารมาเพื่อแจ้งแก่ท่านนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาตัวเองในการกราบถวายบังคมลาออก”
ก่อนลากลับกล่าวอย่างสุภาพว่า “เราจะรอคอยคำตอบภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง”
ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา ประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเดิม
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เมื่อเหตุผลที่จี้ให้นายควงลาออกคือราคาสินค้าสูง และหากจอมพล ป. ไม่สามารถแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงได้ ก็ไม่ชอบธรรมที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นในเวลาไม่นาน รัฐบาลก็ประกาศตั้งราคาสินค้าทั้งหมดให้ต่ำลงมาได้อย่างน่าอัศจรรย์!
ราคาสินค้าลดตามคำสั่ง แม้คุณภาพและปริมาณลดตามไปด้วย แต่ก็ถือว่ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จแล้ว!
แต่รัฐประหาร ๒๔๙๐ ยังไม่ได้ถอนรากถอนโคนศัตรูทางการเมืองที่แท้จริง
ปรีดี พนมยงค์
...........................
ในราตรีรัฐประหาร ๒๔๙๐ เมื่อทหารบุกทำเนียบท่าช้าง นาทีที่เสียงปืนรถถังยิงประตูทำเนียบ ปรีดี พนงยงค์ ก็หนีไปได้อย่างหวุดหวิดพร้อมคนสนิทสองสามคน
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ รัฐมนตรี บอกว่า “เราสามารถสู้ได้ เพราะมีอาวุธเสรีไทยมากพอ หากทหารเรือร่วมด้วย”
นายเตียง ศิริขันธ์ เสนอว่า “เราสามารถยกไปตั้งหลักที่อีสาน และประกาศให้อีสานเป็นรัฐอิสระ”
แต่ทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ปฏิเสธ บอกว่า “ต่อให้สู้ชนะ ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ประชาชนไม่เอารัฐบาลชุดนี้”
ปรีดี พนมยงค์ หนีไปหลบภัยที่ฐานทัพเรือสัตหีบระยะหนึ่ง เพื่อประเมินสถานการณ์ หลังจากนั้นก็เดินทางไปสิงคโปร์ ด้วยความช่วยเหลือของทหารเรือ
อดีตหัวหน้าเสรีไทยผู้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯและอังกฤษ ได้รับความช่วยเหลือจาก น.อ. สแตรทฟอร์ด เดนนิส ผู้ช่วยทูตทหารเรืออังกฤษ กับ น.อ. อัลเฟรด การ์เดส ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐฯ โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เจฟฟรี ทอมป์สัน เอกอัครราชทูตอังกฤษ เอ็ดวิน สแตนตัน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย วางแผนส่งนายปรีดีไปที่สิงคโปร์
น.อ. สแตรทฟอร์ด เดนนิส พา ปรีดี พนมยงค์ และผู้ติดตามสามคนไปส่งลงเรือยนต์ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ น.อ. อัลเฟรด การ์เดส เป็นผู้ขับเรือชักธงชาติสหรัฐฯ ออกจากปากน้ำเจ้าพระยา ไปส่งขึ้นเรือบรรทุกน้ำมันบริษัทเชลล์ไปสิงคโปร์ โดยเอกอัครราชทูตอังกฤษและสหรัฐฯติดต่อกับผู้จัดการบริษัทเชลล์ในประเทศไทยก่อนแล้ว
ปรีดี พนมยงค์ เดินทางไปถึงสิงคโปร์วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ ลอร์ด คิลเลิน มาต้อนรับ พักที่สิงคโปร์หกเดือน
ระหว่างนั้นปรีดีขอให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน (นายดิเรก ชัยนาม เป็นเอกอัครราชทูต) และสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงนานกิง (สงวน ตุลารักษ์ เป็นเอกอัครราชทูต) ออกหนังสือเดินทางให้
ในเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๑ ปรีดี พนมยงค์ ไปฮ่องกง แล้วไปต่อที่เซี่ยงไฮ้ และตัดสินใจไปลี้ภัยที่เม็กซิโก ผ่านเมืองซาน ฟรานซิสโก
ขณะที่ ปรีดี พนมยงค์ กำลังจะเดินทางออกจากจีน รองกงสุลสหรัฐฯประจำเซี่ยงไฮ้ นายนอร์แมน บี. ฮันนาห์ กระชากหนังสือเดินทางของนายปรีดีจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีน และขีดฆ่าวีซ่าของสหรัฐฯที่สถานทูตสหรัฐฯในลอนดอนประทับตราให้ ผลคือ ปรีดี พนมยงค์ ไม่สามารถไปเม็กซิโก
อดีตหัวหน้าเสรีไทยรู้สึกเศร้าใจ เพราะเมื่อปีก่อนเพิ่งได้รับเหรียญ Medal of Freedom จากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่กลับถูกหมิ่นประมาทไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อย
ไม่นานกงสุลใหญ่สหรัฐฯก็มาขอโทษ แจ้งว่า นายนอร์แมนเป็นสายลับซีไอเอ กระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯให้ประทับตราวีซ่าคืนแล้ว
ปรีดี พนมยงค์ เปลี่ยนใจไม่ไปสหรัฐฯ แต่อยู่เมืองจีนต่อไป ตามคำเชิญของจอมพลเจียงไคเช็ก
คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต การขีดฆ่าวีซ่าของสหรัฐฯทำให้ ปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้ไปสหรัฐฯและเม็กซิโก มันเปลี่ยนวิถีการเมืองไทยไปด้วย
ปรีดี พนมยงค์ ตัดสินใจหวนกลับเมืองไทย
สะสางบัญชี
ผลก็คือรัฐประหารครั้งใหม่
วินทร์ เลียววาริณ
๓๐-๔-๖๘............................
ย่อความจากชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วสั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
(บทความนี้เขียนมาครบ 20 ปีในปีนี้แล้ว)
หลายปีก่อนผมมีโอกาสเข้าร่วมพิธีดื่มชาเขียวในเมือง เกียวโต ณ กระท่อมน้อยริมสวนญี่ปุ่น เสียงน้ำไหลผ่านโขดหินสลับเสียงนก เขียวใบไม้กลมกลืนกับฟ้าเบื้องบน ร่มรื่น สงบงาม ราวกับเป็นสถานที่วิปัสสนาของนักบวชผู้ทรงศีล
ผู้เข้าพิธีดื่มชาทำความสะอาดร่างกาย สวมชุดญี่ปุ่น รินน้ำล้างมือจนสะอาด สองมือประคองตะบวยไม้ รินน้ำที่เหลือคืนลงบ่อหินอย่างเชื่องช้า
ผู้เข้าพิธีคุกเข่า คลานเข้าไปในห้องอย่างช้า ๆ มือซ้ายเลื่อนประตูไม้บุกระดาษออกครึ่งหนึ่ง ปาดประตูที่ค้างอยู่ด้วยสันมือขวาออกจนเปิดหมด เขยิบร่างเข้าไปในห้องโดยใช้มือทั้งสองดันเข้าไปนั่งคุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยมบนพื้นเสื่อ
หญิงสาวผู้ชงชาทำความสะอาดกาน้ำชา ถ้วย กระบวย ด้วยสายน้ำจากธรรมชาติ ต้มน้ำจนเดือดปุดส่งควันโขมง หญิงสาวยื่นถาดขนมสี่ชิ้นมาให้พร้อมคำนับ ผู้เข้าพิธีคำนับตอบ
ผู้เข้าพิธีกินขนมจนหมดจาน เช็ดอุปกรณ์ด้วยกระดาษขาวพับครึ่งจนสะอาด วางกลับที่เดิม เมื่อนั้นถ้วยน้ำชาก็ถูกวางไว้เบื้องหน้า
ถ้วยสีขาว น้ำชาสีเขียว
คนชงเทน้ำชงชาเขียวข้นจนเข้าที่ ผู้ดื่มประคองถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปากอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ลิ้นทักทายกับทุกเนื้ออณูของน้ำชาที่ผ่านประตูร่างกายเข้ามา เชื่อมวิญญาณแห่งสายน้ำเข้ากับร่างกายและจิตใจ เป็นห้วงยามแห่งความเงียบสงัดและใกล้ชิดกับตัวตนของตนที่สุด
...................................
เมื่อยังเป็นเด็ก ผมเกลียดการกินข้าวต้มร้อน ๆ ที่สุด ด้วยความรีบร้อน ผมมักใช้ช้อนกวนข้าวต้มไปมา เพื่อให้มันคลายร้อนโดยเร็ว แต่ไม่เป็นผล ข้าวต้มร้อนก็ยังคงรักษาความเป็นข้าวต้มร้อนอย่างเหนียวแน่น บางครั้งหงุดหงิด แอบใส่น้ำแข็งลงไปสักก้อน หรือใช้พัดลมเป่าชามข้าวต้ม
ผู้ใหญ่สอนให้ตักข้าวต้มกินทีละคำ อย่าไปกวน นอกจากไม่ช่วยลดความร้อนดั่งใจแล้ว ยังทำให้อาหารดูไม่สวย หากใจเย็น ๆ เป่าแต่ละคำช้า ๆ ให้คลายร้อนลงพอประมาณก่อนกิน วิธีนี้จะได้กินข้าวต้มอุ่น ๆ ทุกคำ
ครั้นถึงช่วงยามแห่งการดื่มชาจีนที่ร้อนเกือบเท่าอุณหภูมิใจกลางดวงอาทิตย์ ผู้ใหญ่ก็สอนให้ค่อย ๆ จิบไปทีละนิด แน่นอนผมแอบใส่น้ำแข็งลงไปในถ้วย ตามประสาเด็กใจร้อน
วิถีการดื่มกินและใช้ชีวิตของคนรุ่นเก่าสะท้อนถึงคำคำหนึ่งคือ ใจเย็น
กินช้า ๆ รื่นรมย์กับอาหารนาน ๆ เคี้ยวอาหารแต่ละคำราว 50-100 ครั้ง ดื่มช้า ๆ ซึมซับความอร่อยของเครื่องดื่มนาน ๆ
คนรุ่นเก่ามักวิจารณ์คนหนุ่มที่รีบร้อนด้วยความปรานีว่า "จะรีบไปไหนกัน" แปลเป็นภาษาไทยว่า "จะรีบไปตายเรอะ"
แน่นอนแม้จะไม่รีบร้อนตาย แต่คนรุ่นเก่านั้นก็จากไปแทบหมด ขณะที่โลกหมุนเข้าสู่ยุคที่แกนโลกต้องทำงานรับแรงเหวี่ยงหนักกว่าเดิม แทบทุกชีวิตติดคำว่า 'ด่วน' บนหน้าผาก กินเร็ว โตเร็ว จบการศึกษาเร็ว ทำงานเร็ว เกษียณเร็ว และตายเร็ว ด้วยคติพจน์ว่า "ช้าโดนแซง"
...................................
ผมก้าวออกจากกระท่อมชาเขียวด้วยความรู้สึกประหลาด ไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไมหลายคนเลือกวิธีนี้เป็นเครื่องมือในการทำสมาธิ และสร้างปัญญา
โลกดูเหมือนจะหมุนช้าลง และใบไม้ดูสวยขึ้น
สำหรับคนบางคน การใช้ชีวิตอย่างธรรมดาแต่มีคุณภาพคือการใช้ชีวิตที่ดี คุณค่าของชีวิตมิได้อยู่ที่ความเร็ว หรือใครทำอะไรมากกว่า
บางทีปรัชญาชีวิตมิได้อยู่ในตำราของจอมปราชญ์คนใด หากอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง
วินทร์ เลียววาริณ
พฤษภาคม 2548รวมในเล่ม รอยเท้าเล็ก ๆ ของเราเอง
หนังสือเสริมกำลังใจ 46 บทความ 175 บาท เรื่องละ 3.8 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/108/รอยเท้าเล็กๆ%20ของเราเอง%20เวอร์ชั่น%202
เซ็ทโปรโมชั่นพิเศษ
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%204
Shopee
https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=62 วันที่ผ่านมา -
ผมดูหนังไม่ค่อยเลือก (ยกเว้นหนังผี) เหตุผลหนึ่งคือเพื่อคลายสมอง บ่อยครั้งดูแบบไม่ต้องการสาระ แต่บางครั้งถึงกะจะดูหนังไร้สาระ ก็ดูไม่จบเหมือนกัน
วันนี้ไปดูเรื่อง The Accountant 2
(มีสปอยเลอร์แนวเรื่อง)
The Accountant เป็นหนังเมื่อ 9 ปีก่อน เรื่องของคนออทิสติกที่เก่งเรื่องตัวเลข บัญชี ขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญการฆ่า สองส่วนนี้ค่อนข้างสวนทางกัน แต่เอาเถอะ จะใช้พล็อตแบบนี้ก็เอา ก็เป็นหนังนี่นา คำถามคือเล่าเรื่องดีไหม
ผิดความคาดหมาย The Accountant 1 เล่าเรื่องได้ค่อนข้างดี กระชับ มีรายละเอียดมากมายที่ค่อยๆ เผยออกมา และ tie loose ends ได้หมด
The Accountant ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ จึงสร้างภาคต่อในปีนี้ เป็น The Accountant 2
ดูจากคะแนนรีวิวหลายสำนัก ล้วนให้คะแนนสูง
แล้วคะแนนของผม? ไม่ทราบครับ เพราะเดินออกจากโรงเสียก่อน
หนังแย่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? ก็ไม่เชิง แต่ดูแล้วมันเหนื่อยหน่าย ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไร
เปิดฉากตัวละครเปลี่ยนบุคลิกไปมาก จากออทิสติกที่ไม่พูดจาในภาค 1 กลายเป็นคนพูดมาก เรื่องอืด ไม่รู้จะไปทิศไหน
หนังโดยรวมอาจจะดีก็ได้นะ แต่วัยรุ่นใจร้อนอย่างผมทนความเหนื่อยหน่ายไม่ไหว กลับบ้านมาดู The Last of Us 2 ดีกว่า
ว.ล.
29-4-252 วันที่ผ่านมา