-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้เล่าข่าวญี่ปุ่นยอมให้สหรัฐฯตั้งฐานทัพในประเทศ เพื่อเป็นยันต์กันผีต่อจีนและเกาหลีเหนือ
ญี่ปุ่นมีเหตุผลเหมือนไทยสมัยก่อน กลัวคอมมิวนิสต์
ผู้อ่านเคยได้ยินวลี Domino Effect ไหมครับ มันหมายถึงหากเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ลาวและกัมพูชาก็จะล้มตาม ต่อด้วยไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ แหลมทองจะกลายเป็นพื้นที่สีแดง
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงยอมให้สหรัฐฯมาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา และอีกหลายที่ ใช้เป็นฐานบินไปทิ้งระเบิดที่เวียดนามเหนือ
ผมเขียนเรื่องนี้ในรูปนิยาย คือ 17 องศาเหนือ ลองอ่านดู (เรื่องนี้พระเอกคือ ตุ้ย พันเข็ม แห่ง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน)
...............
“สงครามเวียดนามไม่ได้เกิดที่แผ่นดินไทยก็จริง แต่เราถูกลากเข้าไปอยู่ในวังวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องร่วมกับอเมริกา เพราะนโยบายของไทยเราชัดเจนแต่ต้นแล้วว่าต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เราจำเป็นต้องรบกับเวียดนามเหนือ ประเทศไทยกลายเป็นที่ตั้งฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม อเมริกาปรนเปรอเราด้วยเงินทองและความช่วยเหลือต่าง ๆ มากเสียจนเราถอนตัวไม่ขึ้น...”
พล.อ. รังสีกล่าวว่า “...ดังนั้นไม่เพียงแต่เราให้อเมริกามาสร้างฐานทัพที่นี่ เรายังส่งทหารไปรบกับเวียดกง เราฝึกทหารให้เวียดนามใต้ จะว่าไปแล้ว เราก็คือศัตรูอันดับต้น ๆ ของเวียดนามเหนือ...”
ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับอเมริกาสืบย้อนไปนานก่อนสงครามเวียดนาม เมื่อเกิดสงครามเกาหลีขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลไทยส่งกองทหารสี่พันคนและข้าวสารสี่หมื่นตันไปช่วยสนับสนุน ทำให้สหรัฐฯมองว่าไทยเป็นหุ้นส่วนที่จริงใจ หกเดือนต่อมาสหรัฐฯก็ให้ความช่วยเหลือทางทหารมากมาย ก่อตั้งกองอำนวยการที่ปรึกษาทางการทหาร ช่วยฝึกทหารไทย ตัวเลขความช่วยเหลือทางทหารสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นมูลค่า 2.5 เท่าของงบประมาณทางทหารของไทยในเวลานั้น
ตั้งแต่ พ.ศ. 2494-2515 กองทัพบกและกองทัพอากาศไทยปรับปรุงกองทัพด้วยเงินช่วยเหลือมากมายจากสหรัฐอเมริกา มูลค่าความช่วยเหลือทางการทหารจากสหรัฐฯมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับร้อยละ 54 ของงบประมาณกระทรวงกลาโหม
ในฐานะตำรวจ ตุ้ย พันเข็ม รับรู้ความช่วยเหลือเช่นกัน หน่วยซีไอเอของอเมริกาเข้ามาช่วยฝึกตำรวจไทยเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ หน่วยงาน USAID เข้ามาช่วยสร้างถนนเข้าสู่หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง เขารู้ว่าครึ่งหนึ่งของเงินช่วยเหลือที่สหรัฐฯให้ประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2508-2512 เป็นเงินที่ให้กรมตำรวจ นับเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ กรมตำรวจได้รับรถถัง รถหุ้มเกราะ เฮลิคอปเตอร์ เรือ และอาวุธทันสมัยอื่น ๆ อีกทั้งการฝึกฝนจากซีไอเอ นี่เองที่ทำให้เขารู้จักซีไอเอเป็นครั้งแรก
ตุ้ย พันเข็ม จำได้ ในปี พ.ศ. 2507 ประเทศไทยในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร กลายเป็นฐานฝึกกำลังทหารของเวียดนามใต้ เมื่อได้รับการร้องขอจากประธานาธิบดีตรันวันมินห์แห่งเวียดนามใต้ให้ช่วยฝึกหัดนักบินของกองทัพอากาศ
ต่อมาไทยส่งกำลังทหารอากาศไปสนับสนุนกองทัพอากาศเวียดนามใต้ คือหน่วยบินวิคตอรี (Victory Wing Unit) ทั้งนักบินและช่างอากาศ เครื่องบินลำเลียงแบบ ซี-47 ตามมาด้วยการจัดตั้งกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหารที่กรุงไซ่ง่อน ในเดือนพฤศจิกายน 2508 ทำหน้าที่ประสานงานหน่วยบินวิคตอรีกับฝูงบินลำเลียงที่ 415 ของเวียดนามใต้
แล้วความช่วยเหลือเวียดนามใต้ก็ทวีขึ้น ในปี พ.ศ. 2509 ไทยส่งกำลังทั้งทหาร แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เปลี่ยนเวียนกันหลายผลัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 ไทยส่งกำลังทหารภาคพื้นดินไปสมทบที่เวียดนาม รหัสนาม จงอางศึก เป็นกองกำลังหน่วยแรกของไทยซึ่งไปปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม ผ่านไปสามเดือน จงอางศึกขยายขอบเขตจากกรมเป็นกองพล ใช้ชื่อว่า กองพลทหารอาสาสมัคร ในไซ่ง่อนจัดตั้งกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด
“ในตอนนั้นกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเครื่องบินอเมริกาซึ่งโจมตีเวียดนามเหนือ บินไปจากฐานทัพเจ็ดแห่งในไทย ดอนเมือง อู่ตะเภา ตาคลี โคราช อุบลฯ อุดรฯ นครพนม ตอนนั้นผมเห็นเครื่องบิน บี-52 ขึ้นฟ้าตลอดเวลา อาทิตย์ละพันเที่ยว บินไปทิ้งระเบิดปูพรมถล่มเวียดนาม กัมพูชา และลาว เป้าหมายหลักคือฮานอยและไฮฟอง ระหว่างปี 2508 จนถึงปี 2516 เมื่อพวกเขายุติการทิ้งระเบิด บี-52 บินไปทิ้งระเบิดมากกว่าแสนเที่ยว สามเท่าของระเบิดที่ใช้ทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือกว่าเจ็ดล้านตัน มากจนผู้บัญชาการทหารอากาศของสหรัฐอเมริกา เคอร์ติส เลอเมย์ บอกว่า ‘เราจะถล่มพวกมันจนกลับสู่ยุคหิน’!”
ในปี พ.ศ. 2504 กองทัพเรือไทยดำริจะสร้างสนามบินแห่งใหม่ กองบัญชาการทหารสูงสุดได้อนุมัติให้สร้างที่หมู่บ้านอู่ตะเภา ตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยอง สร้างรันเวย์ลาดยางยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร เป็นช่วงต้นของสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาอยากย้ายฐานบินจากเกาะกวมมาใกล้เวียดนาม เพื่อให้ทิ้งระเบิดสะดวก ก็เจรจากับรัฐบาลไทยขอใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ สนามบินอู่ตะเภาของไทยมีทำเลที่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2508 ฝ่ายไทยยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ตกลงให้สหรัฐอเมริกาปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานบินโจมตีเวียดนามเหนือ
สหรัฐอเมริกายุคประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน กระโจนเข้าสู่สงครามแบบเต็มตัว สูงสุดในปี พ.ศ. 2511 ส่งทหารเข้าเวียดนามกว่าห้าแสนคน ทิ้งระเบิดสารพัดชนิดถล่มเวียดนาม ถล่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่ได้หากฐานบินไม่ได้อยู่ในไทย จึงไม่แปลกที่เวียดนามเหนือไม่ยอมนิ่งเฉย การทำลายสนามบินอเมริกาในไทยจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากเครื่องบินพวกนี้ถูกทำลาย ก็เท่ากับลดการทิ้งระเบิดที่เวียดนามเหนือได้ทันที เรารู้ว่าพวกนั้นส่งสายลับเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่ก่อนที่อเมริกาจะส่งทหารมาเสียอีก พวกเวียดนามเหนือเป็นนักยุทธศาสตร์ เดินหมากรุกตั้งแต่เรายังไม่พร้อม พวกนั้นรู้ตั้งแต่การแบ่งประเทศเวียดนามที่เจนีวาแล้วว่า สงครามใหญ่กำลังจะมา เรากำลังเจอสงครามรูปแบบใหม่กับเวียดนามเหนือ พวกนั้นไม่รบกับเราซึ่ง ๆ หน้า พวกนั้นถนัดสงครามจรยุทธ์และบ่อนทำลาย เป็นยุทธวิธีที่พวกนั้นทำมาตลอดสงครามเวียดนามจนเอาชนะอเมริกามาได้แล้ว ตรงตามคำของฟามวันดงที่ว่า ‘เราตีพวกอเมริกันให้ตกทะเล’!...
“คุณตุ้ยก็รู้ว่า สงครามจรยุทธ์ราคาถูกกว่าสงครามตามรูปแบบเดิม กำลังและสรรพาวุธของพวกเวียดกงสู้เราไม่ได้ การรบแบบเผชิญหน้าแพงกว่า พวกเขารบจนเงินหมด ต้องพึ่งเงินช่วยเหลือจากโซเวียตและจีน ไม่รบต่อก็ไม่ได้ พวกนั้นส่งสายลับมา ซ่อนอยู่ในรูปพ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ ทำลายแนวป้องกันด่านต่าง ๆ ของศัตรู เพื่อให้กำลังหลักสามารถบุกโจมตีฐานศัตรูได้ พวกเขาทำงานอย่างเป็นระบบ พวกนี้ก็คือดักกง”
เขาได้ยินชื่อดักกงไม่นานหลังจากทหารอเมริกันเริ่มเข้ามาประจำการในไทย หน่วยปฏิบัติการแซปเปอร์ หรือหน่วยรบพิเศษของเวียดนามเหนือ - Vietnam Special Force หรือที่เรารู้จักกันในนาม ดักกง
“แซปเปอร์เป็นหน่วยรบพิเศษ หรือทหารชุดล่าสังหาร หลายประเทศมีหน่วยรบนี้ แต่สำหรับเวียดนามเหนือ คัดสรรคนสำหรับหน่วยดักกงอย่างละเอียด ไม่เลือกคนตัวสูงใหญ่ คัดแต่คนทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว หลายคนเป็นพรานชาวพื้นเมืองซึ่งเก่งเรื่องสะกดรอย และต้องมีคนที่รู้ภาษาไทยดี บางคนก็เป็นพวกม้ง ลัวะ คุณตุ้ยก็รู้ ดักกงแห่งเวียดนามเหนือเชี่ยวชาญการรบระดับสุดยอด เป็นหน่วยรบที่ฝึกมาเหมือนพวกนินจา ทำงานใหญ่ด้วยกำลังกลุ่มเล็ก เคลื่อนไหวได้อย่างไร้ร่องรอยเหมือนปิศาจ เหมือนนินจา พวกนี้ถูกฝึกมาให้ใช้อาวุธสงครามได้ทุกชนิด ชำนาญเรื่องวัตถุระเบิด การก่อวินาศกรรม การต่อสู้แบบประชิดตัว การซุ่มโจมตี เป็นกองกำลังที่เก่งที่สุดในการทำสงครามจรยุทธ์ ถูกฝึกมาให้อดทนอย่างยิ่งยวด ทนต่อการทรมานทุกรูปแบบ พวกนี้มองว่าพวกตนกำลังทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ รักษาบ้านเกิดของตัวเองจากจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน แน่นอนคำว่า ‘จักรวรรดินิยมอเมริกา’ รวมถึงไทยด้วย...”
“ในคืนวันที่ 30 มกราคม ผมประจำการที่ค่ายรามสูร เย็นนั้นได้ยินเสียงระเบิดและปืน หน่วยดักกงสวมชุดดำหลายสิบคนโจมตีค่ายรามสูร ผมสั่งให้กำลังทหารของผมยิงต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ทั้งฝ่ายเราและอเมริกาเสียกำลังคนไปหลายคน...
“ผมติดต่อกับฐานทัพอู่ตะเภาทันที เพราะถ้ามันเกิดขึ้นที่อุดรฯ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นที่อู่ตะเภา ปรากฏว่าไม่มีใครรับสาย ผมรู้ในชั่วโมงต่อมาว่าฐานทัพอู่ตะเภาก็ถูกโจมตีเช่นกันในเวลาเดียวกัน ปรากฏว่าดักกงแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกลอบเข้าไปในค่ายรามสูร ทีมที่สองโจมตีฐานบินอู่ตะเภา เป้าหมายหลักคือก่อวินาศกรรมเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 พวกนั้นวางแผนรัดกุม โจมตีทั้งสองฐานพร้อมกัน เป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า ยุทธการดอกไม้บาน โจมตีแบบฉับพลันจากทุกด้าน ฝ่ายอเมริกาและไทยในค่ายทหารตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าศัตรูจะกล้าลูบหนวดเสือถึงที่...
“จนถึงเวลาเที่ยงคืน เราจึงควบคุมสถานการณ์ได้ ฝ่ายฐานทัพอเมริกายอมรับว่าทหารอเมริกันเสียชีวิตไปสิบคน บาดเจ็บยี่สิบกว่าคน หมาตายไปสองตัว ส่วนฝ่ายเราตายไปเจ็ดคน พวกเขารบอย่างกล้าหาญ”
ตุ้ย พันเข็ม เงียบไป สะท้อนใจอยู่ภายใน
“พวกดักกงตายไปสิบกว่าคน แต่ก็สร้างความเสียหายให้ฐานทัพมาก บี-52 เสียหายไปสองลำ หลังเหตุการณ์นั้น เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 หยุดบินช่วงหนึ่ง อเมริกากับไทยปิดข่าวนี้เป็นความลับ แต่ก็ปิดไม่อยู่ เพราะเสียงปืนและระเบิดที่ดังต่อเนื่องออกไปนอกฐานทัพ รวมกับควันดำจากระเบิด อย่างไรก็ตาม ข่าวก็ไม่ได้เผยออกไปสู่สื่อ”
น.อ. สนั่นถาม “ทำไมครับ?”
“เพราะในวันเดียวกันนั้นเอง พวกดักกงก็โจมตีฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกาทั่วเวียดนามโดยพร้อมเพรียงกัน ก็คือยุทธการเต็ต...”
สงครามเวียดนามเข้มข้นขึ้นถึงขีดสูงสุดในปี 2511 ปีที่คอมมิวนิสต์ตอบโต้ด้วยยุทธการเต็ต หรือ The Tet Offensive คอมมิวนิสต์บุกถึงบ้าน ในวันที่ 30 มกราคม 2511 จู่โจมฐานทัพของอเมริกา เวียดนามใต้และพันธมิตรถึงหน้าบ้านพร้อมกัน อย่างคาดไม่ถึง นามปฏิบัติการนี้มาจากเทศกาลเต็ต - เต็ตเหวียนดาน หรือ เทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี เป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวเวียดนาม ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปีนั้นฝ่ายเวียดนามเหนือเลือกที่จะทำงานแทนการฉลองปีใหม่ จู่โจมฝ่ายใต้เป็นระลอกพร้อมกันทั้งประเทศ กำลังเวียดกงและกองทัพเวียดนามเหนือแปดหมื่นคน จู่โจมที่มั่นของฝ่ายใต้ในร้อยเมืองทั่วประเทศ เป็นแผนการที่ใหญ่ที่สุด กล้าที่สุด และเสี่ยงที่สุด การจู่โจมทำให้ฝ่ายใต้ตะลึงงันและรวนเร แต่ในที่สุดก็ตั้งหลักได้ และตีโต้กลับไป พวกดักกงก็สูญเสียมากเช่นกัน
แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางทหาร แต่ยุทธการเต็ตกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ชาวอเมริกันรู้แล้วว่าไม่คุ้มที่จะรบต่อไป แรงกดดันจากมหาชนทำให้สงครามจบลงเร็วขึ้น เพราะทุกวันสื่อฉายให้เห็นภาพความตายของทหารอเมริกัน ประชาชนเชื่อว่าวอชิงตันโกหก พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าอเมริกาจะเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามอีกทำไม ส่งสัญญาณถอนตัว ให้เวียดนามใต้รบเอง และค่อย ๆ ถอนตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516
และนี่ก็คือที่มาของการตั้งฐานทัพสหรัฐฯในไทย เพราะวลี Domino Effect
วินทร์ เลียววาริณ
19-2-240- แชร์
- 157
-
(อ่านข่าวการเจรจาเรื่องภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯแล้วหงุดหงิด ขออนุญาตระบายออกเป็นเรื่องขำๆ ขื่นๆ)
ท่านรัฐมนตรีรักชาติไปปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่งอยู่หลายวัน เมื่อออกจากวัด ก็พบนักข่าวดักรอสัมภาษณ์เขาอยู่
นักข่าวถาม "ท่านรัฐมนตรีรักชาติคะ ทำไมประเทศไทยเจรจา tariff กับทรัมป์ไม่ได้เรื่องเลยคะ? เราเสียเปรียบมาก"
"เสียเปรียบก็คือได้เปรียบ มีเมตตาหน่อย มองกว้างๆ หน่อย เราให้เงินเขาไปไม่เสียเปรียบอะไรหรอก ตามคำที่ว่า ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ แปลว่าเมื่อให้ บุญก็เพิ่มขึ้น"
"บุญเพิ่ม แต่นักท่องเที่ยวลดนะคะ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวหายไปหมดเลย ท่านจะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวอย่างไร?"
"การท่องเที่ยวก็ตกอยู่ในสัจธรรมโลก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดังคำสอนที่ว่า อตีตํ นานฺวาคเมยฺนย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ แปลว่าอย่ารำพึงถึงความหลัง อย่ามัวหวังถึงอนาคต"
"สรุปก็คือคนไทยต้องยอมรับสภาพ?"
"อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปลว่าตนเป็นที่พึ่งของตน"
"ในเมื่อท่านแก้ปัญหาไม่ได้ ทำไมท่านไม่ลาออกจากพรรคร่วมคะ?"
"เราเป็นคนรักษาสัญญา สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดังคำสอนที่ว่า ถาวาที ตถาการี แปลว่าพูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น"
"ตอนนี้รัฐบาลล้มโครงการแจกเงินแล้วยังคะ?"
"ยังไม่ล้ม ยังแจกอยู่"
"แต่เราไม่มีเงินนี่คะ"
"ใจเย็นๆ เดี๋ยวตั้งบ่อนแล้วก็ได้เงินเอง"
"ทำไมคิดเป็นแต่แจกเงินคะ?"
"ททมาโน ปิโย โหติ แปลว่าผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"
"ทำไมยังคิดตั้งบ่อนคะ?"
"ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา แปลว่าความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง"
"ใช่ไหมว่านี่เป็นเหตุผลที่ก่อนปรับครม. ท่านเซ็นทิ้งทวน?"
"โถ! รัฐมนตรีต้องทำงานทุกวัน กินเงินเดือนจากประชาชน จะอยู่เฉยไม่ได้ ขโณ โว มา อุปจฺจคา แปลว่าอย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์"
"ทำไมท่านเซ็นซื้อเรือดำน้ำคะ?"
"รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ แปลว่าพึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง"
"ตอนนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง หลายห้างร้านมีคนขายมากกว่าคนซื้อของ ท่านคิดแก้ยังไงคะ?"
"ทุกคนต้องช่วยตัวเองนะ ดังคำที่ว่า อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ แปลว่าคนขยันย่อมหาทรัพย์ได้"
“แล้วเรื่องซอฟต์ พาวเวอร์ ไปถึงไหนแล้วคะ?”
"ก็ทำต่อไป สทตฺถปสุโต สิยา แปลว่าพึงขวนขวายในเป้าหมายของตน"
"ทำไมท่านยังทำงานการเมืองคะ?"
"นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ แปลว่าไม่มีความรักใดเสมอด้วยความรักตน และ วโส อิสฺสริยํ โลเก แปลว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก"
"ทำไมมีคนว่าท่านมากเลย?"
"เฮ้อ! จะทำดีก็มีมารเสมอ เฮ้อ! หิตญฺจ สาธุญฺจ ปรมทุกฺกรํ แปลว่ากรรมดีมีประโยชน์ ทำได้ยากยิ่ง และ นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต แปลว่าผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก"
วินทร์ เลียววาริณ
8-7-250 วันที่ผ่านมา -
The Godfather ภาค 2 มีกลวิธีเล่าเรื่องอย่างหนึ่งที่เรียกว่า parallel stories หรือเรื่องคู่ขนาน
ในเรื่องนี้เรื่องคู่ขนานเล่าสองไทม์ไลน์ สายหนึ่งคือชีวิตของ วีโต คอลิโอน ผู้พ่อ อีกสายหนึ่งคือ ไมเคลิ คอลิโอน ผู้ลูก
แล้วโยงเชื่อมกัน ทั้งที่ตัวละครในสองเรื่องขนานอาจไม่ได้พบกันทั้งเรื่อง
ผมก็ใช้เทคนิคนี้หลายครั้งในนวนิยายและเรื่องสั้น ตัวอย่าง เช่น ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ตอน 2482/2488 เรื่องสั้น โลกีย-นิพพาน, เกม (อาเพศกำสรวล) เป็นต้น
ใน The Godfather ภาค 2 การเล่าเรื่องคู่ขนานทรงพลังมาก และเชื่อมต่อกันดั่งฝีมือเทพเจ้า เนียนไร้รอยตะเข็บ
มันไม่ใช่แค่ storytelling แล้ว มันคือ art
งานแบบนี้ถ้ามือไม่ถึง เละแน่นอน เพราะองค์ประกอบเรื่องเยอะเกินไป
แต่เรื่องนี้ บทถึง
มันคล้ายดูหนังสองเรื่องพร้อมกัน แต่ละเรื่องส่งเสริมอีกเรื่องหนึ่ง
ผมดู The Godfather มาหลายสิบรอบแล้ว ตั้งแต่หนังออกฉายในโรงจนบัดนี้ ก็ยังหาจุดแย่ไม่พบ
ตอนที่อยู่ที่นิวยอร์กในยุค 80 ผมไปดู The Godfather ภาค 1-2 ฉายควบ เชื่อว่าคนดูเกือบทั้งโรงเคยดูมาก่อน แต่เมื่อหนังจบ เสียงปรบมือดังก้องโรงหนัง ทั้งที่เป็นโรงหนังชั้นสองเก่าๆ
นี่คือพลังของหนังที่ดี
กราบ
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-252 วันที่ผ่านมา -
"มันไม่ยุติธรรมเลย สังคมมักตัดสินคนที่เปลือกนอกและภาพลักษณ์ เช่น รัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง" ท่านรัฐมนตรีรักชาติเปรยกับจิตแพทย์
ใช่ การทำงานการเมืองเพื่อประชาชนทำให้ท่านรัฐมนตรีรักชาติเครียด จนจำต้องพึ่งจิตแพทย์
จิตแพทย์เอ่ย "ผมเข้าใจครับท่าน ท่านทำงานเพื่อชาติมาโดยตลอด"
แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่ารัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง"
"ผมเป็นพวกทำดีได้ D"
หมอพยักหน้า แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่าทำ D ได้ดี"
"คุณหมอมีทางแก้ไหมครับ?"
"มี"
"อะไร?"
"ผมว่ายาที่ดีที่สุดในโลกคือธรรมะ"
"จริง หมอว่าควรอ่านหรือฟังธรรมะดีครับ?"
"อ่านก็สะดวกนะ อย่างเช่นเล่ม มังกรเซน ของ..."
"อ๋อ! หนังสือของนักเขียนกวนตีนคนนั้น ไม่ไหวครับ เขียนก็ไม่ได้เรื่อง แล้วยัง stir foot อีก"
"เขามี Mini Zen นะ Mini Tao ก็มี Mini Stoic ก็เข้าท่า"
"ไม่เอาทั้งสิ้น ไอ้นักเขียนเปรตคนนี้"
จิตแพทย์ว่า "งั้นก็เข้าวัดดีกว่าครับ ท่านรัฐมนตรีอาจลองเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมบ้าง”
“ผมก็ไปวัดบ่อยครับ”
"วัดวาอารามนะครับ ไม่ใช่วัดตัว แล้วไม่ใช่วัดที่เจ้าอาวาสเล่นพนันกันหลายร้อยล้าน"
"ผมรู้น่า หมอ ผมรู้จักเข้าวัดดีๆ"
"คุณฟังพระเทศน์?"
"ใช่ ผมฟัง"
"แล้วคุณทำตามที่พระเทศน์ไหม?"
"ทำซีครับ ผมเป็นคนที่เชื่อพระ และผมก็ทำตามที่พระเทศน์เสมอ”
จิตแพทย์ถาม “ยังไงครับ?”
“อย่างวันก่อนพระเทศน์ว่า ‘การดื่มสุรายาเมาก็ดี... การเล่นพนันก็ดี... คอร์รัปชั่นก็ดี... การโกงก็ดี... ผมฟังแค่นี้ก็กลับบ้านเลย เพราะผมทุกอย่างที่ท่านว่า 'ก็ดี' ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว"
(แปลงจากขำขันที่เคยอ่านมา)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-252 วันที่ผ่านมา -
“ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด... แต่ถ้ายี่เกยจะบวช ผมก็ต้องสึกออกไปอยู่บ้านค้าขาย” ผู้พูดคือ เงื่อม พานิช หลังบวชได้หนึ่งพรรษา
ยี่เกยคือชื่อของน้องชายของเขา
ท่านพุทธทาสภิกขุมีนามเดิมว่า เงื่อม พานิช บวชตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ท่านเผยแผ่ธรรมต่อเนื่อง เขียนหนังสือมากมาย เทศนาบรรยายธรรมไม่หยุด ล้วนเป็นแก่นธรรมที่ลุ่มลึก เป็นแสงสว่างของชาวไทยมานานหลายสิบปี เป็นปูชนียบุคคลมิเพียงของเมืองไทย แต่ของทั้งโลก
ปีนั้นคือ พ.ศ. 2470 ตามที่ตกลงไว้ เงื่อมจะบวชแค่สามเดือนแล้วกลับไปค้าขายที่บ้าน ต่อด้วยคิวของน้องชายท่านนามยี่เกยบวช แล้วไปเรียนแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
เจ้าคณะอำเภอได้ยินประโยคข้างต้น ก็ไปคุยกับโยมแม่ของเขา บอกว่าเงื่อมควรจะอยู่เป็นพระต่อไป ส่วนยี่เกยผู้น้องนั้นไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะใช้ชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว
ผลก็คือยี่เกยเปิดโอกาสให้พี่ชายบวชต่อไป นอกจากนี้ยังยอมเลิกเรียนแพทย์ตั้งแต่เทอมแรก เพื่อทำการค้าของครอบครัว
ยี่เกยคือ ธรรมทาส พานิช เงื่อมก็คือพุทธทาสภิกขุ
ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ของฆราวาสที่ดีงามคนหนึ่ง ทำให้โลกมีพระที่ดีงามรูปหนึ่ง ผู้ที่ในกาลต่อมาสร้างฆราวาสที่ดีงามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
นานปีให้หลังมีคนถาม ธรรมทาส พานิช ว่า เสียดายหรือไม่ที่ไม่ได้เรียนหมอ
ธรรมทาส พานิช ตอบว่า “พวกคุณลองคิดดูว่า เปรียบเทียบระหว่างที่ได้ท่านพุทธทาสภิกขุมาองค์หนึ่ง กับได้หมอมาคนหนึ่ง อย่างไหนมีค่ามีความสำคัญกว่ากัน”
จิตใจสูง เฉียบคม ลุ่มลึก กราบคารวะ
(สวัสดีวันจันทร์ ขอให้ทั้งสัปดาห์สุขด้วยธรรมะ)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-25
......................หมายเหตุ : ท่านธรรมทาส พานิช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะธรรมทาน สวนโมกขพลาราม โรงเรียนพุทธนิคม โรงพิมพ์ธรรมทาน ซึ่งตีพิมพ์หนังสือธรรมจำนวนมาก ท่านเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนการเผยแพร่พุทธศาสนาของสวนโมกขพลาราม ท่านถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในปี 2543 อายุ 92 ปี
2 วันที่ผ่านมา -
ในหนังเรื่อง The Godfather Part Two มีฉากที่ตัวละคร Frank Pentangeli ต้องให้การต่อรัฐสภา เพื่อเอาผิดเจ้าพ่อ ไมเคิล คอลิโอน ก่อนหน้านั้นเขาสารภาพกับทางการแล้วว่า เขาก่ออาชญากรรมต่างๆ ตามคำสั่งของเจ้าพ่อ
ก่อนที่เขาจะให้การใดๆ สายตาเขาก็เหลือบเห็นพี่ชายของเขาเดินมากับเจ้าพ่อ พี่ชายของเขาอาศัยอยู่ที่เกาะซิซีลี ไม่เคยเดินทางไปไหน แต่วันนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่
แฟรงก์รู้ทันทีว่านี่เป็นการเดินหมากของไมเคิล เพื่อนำพี่ชายของเขามาเตือนเขาว่า "อย่าพูด" มิฉะนั้นจะมีผลที่ตามมา
แฟรงก์กลับคำให้การ บอกว่าไม่รู้จักเจ้าพ่อใดๆ ทั้งสิ้น ที่มาให้การเพราะพวกเอฟบีไอสั่งมา ว่าแล้วก็หัวเราะขำๆ
หลังจากแฟรงก์ถูกเอฟบีไอพากลับไปที่พักในค่ายทหาร ทอม เฮเกน ทนายของไมเคิลก็ไปหา บอกให้เขาฆ่าตัวตาย (ฉากนี้คลาสสิกมาก)
แฟรงก์ก็ฆ่าตัวตายอย่างว่าง่าย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า omertà
โอแมร์ตาคือสัญญาชนิดหนึ่งหรือวิถีปฏิบัติของพวกอาชญากรอิตาเลียน นั่นคือหากถูกตำรวจจับ จะไม่พูด ไม่ซัดทอด ไม่หักหลังกัน
มันเป็นสัญญาเลือด ใครฝ่าฝืนจะต้องตาย
นักเขียน มาริโอ พูโซ ใส่หลักการโอแมร์ตาในนวนิยายของเขาหลายเรื่อง เช่น The Godfather, The Sicilian และ Omertà
ฉากให้การฉากนี้เรียบง่ายมาก แค่ให้ตัวละครพี่ชายโผล่เข้ามาเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดสักคำเดียว ก็ทรงพลัง พิสูจน์ว่า ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ทำหนังเป็นตั้งแต่หนุ่ม
The Godfather Part Two เป็นงานชั้นครู เป็นภาคต่อที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์ อาจดีกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งที่สองที่ มาริโอ พูโซ ร่วมเขียนบทกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา
ทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลออสการ์บทยอดเยี่ยม ทั้งที่ มาริโอ พูโซ ไม่เคยเขียนบทมาก่อน
ทั้งสองเรื่องสุดยอดจริงๆ (11/10)
กราบ
วินทร์ เลียววาริณ
6-7-252 วันที่ผ่านมา