-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
เวลาเรามองดวงดาวในทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า เราย่อมเชื่อว่าแต่ละจุดคือดาวหนึ่งดวง ใช่ไหม?
อ้าว! ไม่ใช่หรือ?
คำตอบคือ ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
แต่ละจุดดาวที่เรามองดูในยามราตรี มีโอกาสสูงที่มันไม่ใช่ดาวดวงเดียว แต่เป็นดาวคู่ (binary star) หรืออาจจะเป็นดาวหลายดวง (multiple star)
อย่างที่เกิดขึ้นกับดาวซานถี่ มีสามดวง กลายเป็น three-body problem
ส่วนดาวคู่ก็คือดาวสองดวง โคจรเกี่ยวร้อยกัน ไปไหนไปด้วยกัน
เป็น two-body problem
หนุ่มสาวเวลาอธิษฐานครองรัก ก็สามารถขอให้เกิดใหม่เป็นดาวคู่ ดวงหนึ่งเป็นสามี ดวงหนึ่งเป็นภรรยา หมุนวนกันไปนานแสนนาน โรแมนติกจริงๆ
ถ้ามองผ่านกล้องโทรทรรศน์ ดวงที่ใหญ่กว่าก็คือดาวภรรยาแหงๆ
เหตุที่เราเห็นดาวสองดวงเป็นดวงเดียวเพราะมันอยู่ไกลมาก แสงจากดาวสองดวงรวมกันเป็นจุดเดียว
ยกตัวอย่างดาวซิริอุส (Sirius) ที่สุกสว่างมากกลางฟ้า ก็เป็นดาวคู่
ทายซิว่ามีดาวคู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ของดาวทั้งหมดในทางช้างเผือก?
ก. 10 เปอร์เซ็นต์
ข. 20 เปอร์เซ็นต์
ค. 50 เปอร์เซ็นต์
ง. อื่นๆ
คำตอบคือ ง.
ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์
แปลว่าเวลาเรากวาดตาขึ้นมองฟ้ากลางคืน ส่วนใหญ่เป็นดาวคู่ หรือมากกว่าสองดวง
ส่วนดวงอาทิตย์ของเราเป็นดาวโทน ไม่มีคู่เคียงเรียงหมอน น่าสงสาร
สิ่งที่น่าคิดต่อก็คือ ถ้าดวงอาทิตย์ของเราที่เป็นดาวโทนมีดาวเคราะห์หลายดวงโคจรรอบ ดาวคู่จะมีดาวเคราะห์โคจรรอบๆ ไหม
คำตอบคือมี เราพบหลักฐานมานานแล้ว
เราเรียกดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวคู่ว่า circumbinary planet
ส่วนดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวคู่จะเกิด two-body problem ฤดูกาลบิดเบี้ยว เกิดภาวะโลกร้อนโลกเย็นหรือไม่นั้น จนปัญญาตอบ
โลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ดวงเดียว มนุษย์เรายังสามารถทำให้ป่วนได้ขนาดนี้ (one-body problem)
ดังนั้นเวลาไปหาหมอดู ถ้าหมอดูบอกว่าดาวดวงนั้นดวงนี้ส่งอิทธิพลต่อชีวิตคุณ ถามให้แน่ด้วยว่า ดาวที่ส่งอิทธิพลเป็นดวงที่ 1 หรือดวงที่ 2 (ดวงที่เป็นสามีหรือดวงที่เป็นภรรยา) จะได้รู้ว่าต้องซักผ้าไหม
วินทร์ เลียววาริณ
25-5-250- แชร์
- 62
-
วันนี้โฆษกรายการ 'ทวงสัญญา' สัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีรักชาติออกอากาศสด "ท่านรักชาติคะ ท่านจำโครงการที่ท่านเสนอตอนหาเสียงว่า จะทำถนนเจ็ดชั่วโคตรให้เสร็จ ตอนนี้คานยังหล่นใส่รถยนต์เลยค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา ชาวบ้านน่าจะจำผิดนะ"
"แล้วท่านจำโครงการที่ท่านสัญญาไว้ตอนหาเสียงว่า จะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ชุมชนได้ไหมคะ? จนป่านนี้พวกเขายังหาห้องสมุดไม่เจอค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ ผมไม่น่าจะสัญญานะ"
"ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า ท่านจะปราบยาเสพติดให้เหี้ยนได้มั้ยคะ? แต่ตอนนี้ยาเสพติดเกลื่อนเมือง"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ท่านรักชาติคะ ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า จะขจัดแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยได้มั้ยคะ?"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ตกลงท่านจำอะไรได้บ้างคะ?"
"ผมจำได้ว่าผมไม่ได้สัญญา"
........................
หลังออกรายการ ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินออกจากสถานีโทรทัศน์ ตรงไปที่จอดรถ ท่านมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นรถยนต์ส่วนตัวของท่าน
รถของท่านถูกขโมย!
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมิจฉาชีพบังอาจขโมยรถของท่านรัฐมนตรี
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินทางไปที่ สน. ทันที เพื่อแจ้งความเรื่องรถหาย
นายร้อยเวรเห็นหน้าท่านก็ยกมือไหว้ "สวัสดีครับท่าน ผมเพิ่งดูรายการสัมภาษณ์ของท่านเมื่อครู่ก่อนนี่เอง"
"ก็เพราะไปรายการบ้านั่น รถผมจึงถูกขโมย"
"รถอะไรครับ? ท่านพอจำได้ไหมครับ?"
"อ้าว! ทำไมถามอย่างนั้น? ผมไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะ"
"ก็เพราะเมื่อกี้ในรายการที่สัมภาษณ์ท่าน ท่านจำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ตกลงรถอะไรหายครับ? บอกคร่าวๆ ก็ได้เพราะความจำท่านมีปัญหา"
"รถที่หายคือ Bugatti La Voiture Noire สีดำ รุ่นที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ Bugatti Type 57 SC Atlantic ตัวถังทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียว ขนาดความยาว 178.9 นิ้ว หรือ 4,544 มม. กว้าง 80.2 นิ้ว หรือ 2,038 มม. สูง 47.7 นิ้ว หรือ 1,212 มม. ใช้ quad-turbocharge 8 ลิตร เครื่องยนต์ W16 ระบบเชื้อเพลิงเป็น Turbocharge Direct Injection มี central fin อันเดียว ท่อไอเสียหกท่อ โครงนอกเป็นแบบ exposed backbone ช่องตะแกรงกันชนหน้าเป็นแบบ 3D printed รถยนต์มีพลัง 1,500 แรงม้าในแต่ละล้อ torque 1,180 lb-ft เร่งเครื่องจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในสามวินาที เกียร์เป็นแบบ 7-speed dual-clutch ไฟหน้าเป็น clusters LEDs ในครอบแก้ว ระบายอากาศผ่านรูสามเหลี่ยมบน twin scoops..."
ร้อยเวรเงียบไปครู่หนึ่ง
"แล้วท่านใช้เงินจากไหนซื้อ หรือว่าใครให้ยืมครับ?"
"จำไม่ได้"
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25เรื่องนี้ดัดแปลงจากขำขันที่เคยได้ยินมา
0 วันที่ผ่านมา -
เมื่อ สตีฟ จ็อบส์ ชวนคนในอีกบริษัทหนึ่งมาร่วมงานกับเขานั้น ใครคนนั้นมีการงานที่มั่นคงกว่าบริษัท Apple มาก แต่ภายในชั่วโมงนั้นชายคนนั้นก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปทำงานกับจ็อบส์
ใครคนนั้นชื่อ ทิม คุก
ไม่ทุกคนจะกล้าเปลี่ยนใจจากงานมั่นคงสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน แต่การที่ ทิม คุก ตัดสินใจไป ก็เพราะเขามองเห็นภาพอนาคตว่าเขาจะยืนอยู่ตรงจุดที่ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ และมันสนุกกว่าการทำงานที่มั่นคง แต่ ‘เซม-เซม’
เอาละ ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่จะได้รับคำชวนจาก สตีฟ จ็อบส์ ไปร่วมงานด้วย และไม่ทุกคนจะได้ไปยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ แต่หากเราเป็น ทิม คุก ในวันนั้น เราจะกล้าทิ้งงานมั่นคงไปหางานที่ไม่แน่ว่าจะมีอนาคตหรือ?
หลายปีมานี้หลายคนมาขอคำปรึกษาผมเรื่องเปลี่ยนงาน ทุกคนอยากก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่กลัวความไม่แน่นอน กล้า ๆ กลัว ๆ จึงต้องการคำปรึกษา
ความจริงหากตอบด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ การเปลี่ยนงานก็เหมือนการตกหลุมรัก วูบแรกก็รู้แล้ว
การถามผมก็อาจไม่ผิดคนนัก เพราะผมเปลี่ยนงานหลายครั้งแบบหักฉาก ตีโค้งไปคนละทิศ หลายการตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต และหลายการตัดสินใจทำได้ยาก โดยเฉพาะการตัดสินใจเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายซึ่งกระโจนเข้ามาเป็นนักเขียนอาชีพเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ในวัยสี่สิบกว่า ซึ่งไม่ค่อยมีคน(กล้า)ทำกันนัก
ผมกลัวการเปลี่ยนงานมาตลอดชีวิต แต่กลับเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เช่น เปลี่ยนจากสายสถาปัตย์เป็นสายโฆษณา เปลี่ยนจากสายโฆษณาเป็นสายหนังสือ แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายนั้นตัดสินใจได้ในเวลาไม่กี่วินาที
เพราะอะไร? เพราะผมมองไปที่จุดหมาย ไม่ใช่เงินเดือนและความมั่นคง
หลายคนเปลี่ยนงานเพราะมีหินก้อนหนึ่งข้างหน้าว่างให้เหยียบ เช่น มีตำแหน่งว่าง มีข้อเสนอเพิ่มเงินเดือน เป็นต้น
คนส่วนมากจะเปลี่ยนงานโดยมองที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น จะได้เงินเดือนเพิ่มเท่าไร ได้โบนัสกี่เดือน ระยะทางจากบ้านไปออฟฟิศไกลแค่ไหน เวลาทำงานยาวไหม ต้องทำงานวันเสาร์ไหม ฯลฯ
เมื่อก้อนหินข้างหน้าเป็นข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่า ก็ก้าวไปเหยียบไว้ เมื่อเห็นก้อนใหม่ที่ดีกว่านั้น ก็เปลี่ยนอีก
นี่คือการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น คิดแบบสั้น ๆ ไปทีละท่อน เรียกว่า stepping stones
นี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แค่บอกว่าเป็นการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น
แต่ยังมีการเปลี่ยนงานอีกแบบหนึ่ง คือคิดช็อตยาว เหมือนยิงลูกสนุกเกอร์ข้ามโต๊ะ
ช็อตยาวคือมองที่จุดหมายเป็นหลัก ถามตัวเองว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในอีกห้าปี สิบปี อยากยืนอยู่ตรงไหน แล้วใช้จุดหมายนั้นเป็นตัวกำหนดทาง
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานได้ง่ายมาก นั่นคือจะย้ายบริษัทต่อเมื่องานที่ใหม่ทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น มั่นคงขึ้น
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะสำรวจตัวเองเป็นระยะว่า บริษัทเดิมที่เราทำงานอยู่ยังอยู่บน path นั้นไหม และเราพัฒนาคุณสมบัติของตนเองให้พร้อมสำหรับก้าวต่อไปแค่ไหนแล้ว
ถ้าบริษัทเก่าไม่อยู่บน path ของเรา ก็ได้เวลาเริ่มมองหาบริษัทใหม่ที่อยู่บน path และทำให้เราไปถึงจุดหมาย
และถามตัวเองเสมอว่า ตนเองได้พัฒนาคุณสมบัติจนพร้อมสำหรับการก้าวสู่ path ใหม่หรือเปล่า ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วเชื่อว่าเทวดาจะช่วยเสกฝีมือมาใส่ให้
หลักการมองช็อตยาวก็เป็นอย่างนี้ ที่เหลือเป็นแค่รายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เช่น เรื่องเงิน เรื่องโบนัส เรื่องทำงานกี่ชั่วโมง ไปจนถึงชื่อตำแหน่งบนนามบัตรว่าเท่ไหม
ผมเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายมายี่สิบกว่าปีแล้ว เงินไม่มากเหมือนสายเก่า เส้นทางนี้ขรุขระ แต่ไม่มีวันใดรู้สึกเสียใจที่เปลี่ยนงาน เหมือนปลาที่กระโดดออกจากกระชัง ดิ่งลงสู่ห้วงสมุทร เบื้องหน้ามืดสลัว มีแสงสว่างสาดลงมาบ้างเป็นระยะ และว่ายไปข้างหน้าโดยมั่นใจว่าไม่หลงทาง
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
0 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้เศรษฐกิจประเทศไทยไม่ดี ท่านรัฐมนตรีรักชาติได้รับแต่งตั้งจากนายกฯให้ดูแลปัญหาเศรษฐกิจ
ทันทีที่รู้ว่าตนต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็รุดไปตรวจไข่ เอ๊ย! ตลาดไข่ทันที เพราะปกติแล้วในทุกรัฐบาล มาตรวัดสภาวะเศรษฐกิจก็คือราคาไข่
รัฐมนตรีรักชาติไม่เคยไปจ่ายตลาดมาก่อนในชีวิต จึงถือโอกาสนี้ทำประชาสัมพันธ์ มีผู้สื่อข่าวติดตามไปด้วยหลายสิบคน และซื้อข้าวของกลับบ้าน
ท่านเดินไปหยุดที่หน้าแผงขายไข่ ซื้อไข่ไก่หนึ่งโหล ถามแม่ค้าว่า “ขายดีมั้ยครับ?”
“ไม่ค่อยดีค่ะ ท่าน เศรษฐกิจแย่อย่างนี้คนซื้อไข่ลดลงค่ะ”
"เศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอก คนอาจจะเบื่อกินไข่"
"ไม่แย่ก็ไม่แย่ค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่หนูอยู่กับชาวบ้าน ทุกคนบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยนะคะ"
"รัฐบาลทำอะไรเยอะแยะ แต่ประชาชนไม่เห็น เพราะเราปิดทองหลังพระ"
"ปิดทองก็ปิดทองค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่ที่แน่ๆ คือคนซื้อไข่ลดลงค่ะ เพราะรายได้หนูลดลง"
“ลูกค้าชอบซื้อไข่อะไรครับ?”
เธอชี้ไปที่กองไข่เป็ด
“ทำไมครับ?”
“เพราะมันถูกที่สุด”
รัฐมนตรีรักชาติพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วไข่อะไรที่แพงที่สุดครับ?”
“ไข่เหี้ยค่ะ”
รัฐมนตรีรักชาติสะดุ้ง
แม่ค้าว่า "พูดถึงไข่ค่ะ ไม่ได้ว่าท่าน"
“แล้วไข่เหี้ยหน้าตาเป็นยังไงครับ?”
แม่ค้าชี้ไปที่กองไข่ไก่ที่ท่านเพิ่งซื้อ
“อ้าว! นี่มันไข่ไก่นี่นา ทำไมจึงบอกว่าเป็นไข่เหี้ยล่ะครับ?”
“เพราะพอรัฐบาลนี้บริหารประเทศ เวลาใคร ๆ เห็นราคาไข่แล้ว ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า ไข่เหี้ยอะไรวะ แพงชิบหาย”
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา27-5-25
(ขอบคุณภาพจากข่าวสด)
1 วันที่ผ่านมา -
เอ็มมานูเอล เชอร์แมน (Emanuel Sherman) เป็นชาวอเมริกัน เกิดปี พ.ศ. 2457 เมื่อเดินทางมาเมืองไทย ก็ซาบซึ้งในรสพระธรรม บวชเป็นพระตลอดชีวิต
พระฝรั่งรูปนี้มีความสามารถด้านวาดภาพ เขียนภาพโฆษณาไว้มาก เมื่อเป็นพระ ก็ยังใช้ความสามารถทางศิลปะวาดภาพทางศาสนา
หนึ่งในภาพที่เขาวาดชื่อ พระองค์อยู่หลังม่าน
วลี ‘พระองค์อยู่หลังม่าน’ แปลว่าอะไร?
พุทธทาสภิกขุอธิบายภาพปริศนาธรรมนี้ว่า มันเป็นการชี้ธรรมให้เห็นโดยบอกให้เราเปิดม่านบังใจเราออก
‘ม่าน’ คืออวิชชา ‘พระองค์’ คือพระพุทธองค์และพระธรรม
นี่แปลว่าธรรมนั้นอยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลา แต่เราใช้ม่านปิดบังตัวเอง ทำให้ไม่เห็น ‘พระพุทธองค์’
แค่แหวกม่านออก ก็จะพบว่าพระองค์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ท่านพุทธทาสฯเขียนเป็นบทกวีว่า
ดูให้ดี พระองค์มี อยู่หลังม่าน
อยู่ตลอด อนันตกาล ท่านไม่เห็น
เฝ้าเรียกหา ดุจเห่าหอน ห่อนหาเป็น
ไม่รู้เช่น เชิงหา ยิ่งหาไกล
เพียงแต่แหวก ม่านออก สักศอกหนึ่ง
จะตกตะลึง ใจสั่น อยู่หวั่นไหว
จะรู้จัก หรือไม่ ไม่แน่ใจ
รู้จักได้ จักปรีดี อยู่นี่เอง
เชิญพวกเรา เอาภาร การแหวกม่าน
งดงมงาย ตายด้าน หยุดโฉงเฉง
ทำลายล้าง อวิชชา อย่ามัวเกรง
ว่าไม่เก่ง ไม่สวย ไม่รวยบุญงดงามทั้งภาพ คำ และความหมาย
เมื่อเราเกิดทุกข์ ไมว่าทางกายหรือใจ หรือเกิดขึ้นทางกายแล้วส่งผลกระทบต่อใจ หรือเกิดที่ใจแล้วส่งผลกระทบถึงกาย เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว ไร้คนช่วย
หลายคนเลือกไปทางลัดหนีจากโลก เพราะรู้สึกว่าตนเองกำลังลอยคอเคว้งคว้างกลางทะเลทุกข์อยู่คนเดียว
แต่ความจริงเรามีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา ตัวช่วยก็คือพระธรรมของพระพุทธองค์
พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา แค่เปิดม่านบังตาออก ก็เห็น
ทว่าเวลาทุกข์ เรามักมองไม่เห็น หรือลืมมอง
คนจำนวนมากมีนิสัยบ่นสาปแช่งชะตากรรมเมื่อประสบทุกข์
ผมรู้จักคนหลายคนที่จิตตกแล้วอยากฆ่าตัวตาย
ผมเคยผ่านประการณ์จิตตกอย่างหนักมาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี แต่ก็เรียนรู้ว่า ตัวช่วยสำคัญที่สุดคือสติ
เมื่อสติกลับคืน ก็เปิดม่านออก และพบพระองค์ เกิดปัญญาแก้ไขทุกข์ที่ต้นเหตุ
ปัญญาอาจมาจากธรรมของพระพุทธองค์ แต่เราต้องเปิดม่านออกก่อน
ดังนั้นยามประสบพบทุกข์ จงตั้งสติ และระลึกเสมอว่าเรามิได้อยู่คนเดียว พระองค์อยู่หลังม่านเสมอ
หลักธรรมแห่งการข้ามทุกข์มีมากมาย หลักธรรมท็อปฮิตที่ไม่เคยล้าสมัยก็คือ อริยสัจ 4 ที่สอนให้เราวิเคราะห์โครงสร้างของทุกข์ แล้วแก้ไขมันที่ต้นเหตุ
แต่จะเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นต้นเหตุ ก็ต้องเริ่มที่แหวกม่านออกก่อน
สำหรับคนที่ไม่มีทุกข์ ณ ขณะจิตนี้ ก็ควรระวังเสมอว่า ทุกข์ปรากฏตัวได้ทุกเมื่อทุกนาทีข้างหน้า แค่เผลอ จิตก็ปรุงแต่งสิ่งที่ประสบพบเห็นเป็นทุกข์
ชีวิตคือความไม่แน่นอน เราไม่ได้สุขตลอด แต่ก็มิได้ทุกข์ตลอด ถ้ารู้วิธีใช้สติกำกับ ก็จะรู้ล่วงหน้าก่อนที่จิตจะปรุงแต่งเป็นทุกข์
นี่ก็คือการใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทดังที่พระพุทธองค์ตรัสสอน
วินทร์ เลียววาริณ
27-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
เรื่องเซนที่ผมโพสต์ทุกวันอาทิตย์จำนวนมากมายนั้น ผมไม่ได้แต่งเรื่องเอง แต่เก็บความมาเล่าใหม่
เรื่องศาสนาและปรัชญาอื่นๆ ที่นำมาลงก็เหมือนกัน เก็บความมาเล่าใหม่ทั้งนั้น เพราะผมไม่เคยกล้าเรียกตัวเองว่าผู้รู้
เป็นแค่ผู้ถ่ายทอด
ในช่วงงานหนังสือที่ผ่านมาเมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสสนทนาเรื่องศาสนาพุทธกับผู้อ่าน และเปรยว่าในวัยใกล้ฝั่งนี้ ผมตั้งใจจะศึกษาศาสนาพุทธจริงๆ อีกรอบ เพื่อเก็บตกส่วนที่หลุด ไม่เข้าใจ เข้าใจผิด ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
และหากมีโอกาส ก็จะเก็บความมาเล่า
แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะไม่เขียน
โครงการนี้มีสิทธิ์จะไม่ได้เกิดสูง เพราะศาสนาพุทธนั้นลึกซึ้ง เข้าใจไม่ง่าย
ผมอ่านหนังสือศาสนา ปรัชญาต่างๆ ค่อนข้างกว้าง และเนื่องจากศึกษาวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะจักรวาลวิทยา มุมมองเกี่ยวกับศาสนาของผมจึงค่อนข้างเฉพาะตัว แต่ผมจะไม่ยัดเยียดให้คนอ่านในสิ่งที่ผมเชื่อ (ผมมีทฤษฎีหลายอย่างที่คิดอยู่ในใจเหมือนกัน) จะนำมาเสนอเฉพาะส่วนที่ตำราทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์มีข้อรับรองแล้ว
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างจักรวาลวิทยากับศาสนาเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากยังมองไม่เห็น จึงอาจรู้สึกว่า เรื่องจักรวาลโยงกับศาสนาที่ผมเขียนเหมือนน้ำกับน้ำมัน
ก็ไม่ว่ากัน
ผมเห็นความสำคัญของการศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ มันทำให้เรามีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น แต่ผมก็เห็นความจำเป็นของการศึกษาศาสตร์ต่างๆ เปรียบเทียบด้วย
ผมเชื่อว่าทุกศาสตร์มีความเชื่อมโยงกัน ง่ายๆ ก็เช่น ประวัติศาสตร์กับศาสนาเกี่ยวข้องกันแน่นอน ภูมิศาสตร์กับศาสนาก็เกี่ยวข้องกัน เป็นต้น
เวลามีคนคอมเมนต์ผมว่า ผมยังไม่รู้ลึกในเรื่องนั้นเรื่องนี้ (ส่วนมากเป็นเรื่องพุทธศาสนา) ผมจะน้อมรับฟัง ต่อให้ไม่เห็นด้วย แล้วไปตรวจสอบ เพราะเป้าหมายของผมคือความรู้ ไม่ใช่อยากเอาชนะใคร หรืออยากตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์
ผมไม่เคยคิดเปิดสำนักความเชื่ออะไร ผมเขียนเพราะผมอยากรู้เท่านั้น และเผยแพร่ความรู้ที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้วมากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศรัทธา
ผมทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข้อมูล และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของข้อมูลต่างๆ แม้ว่าเป็นคนละศาสตร์
ผมตัดเรื่องไสยศาสตร์ ปาฏิหาริย์ และทุกอย่างที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ออกไปก่อน ต่อให้มันเป็นบันทึกเก่าแก่แค่ไหนก็ตาม หรือผู้เขียนน่าเชื่อถือเพียงไร
นี่ก็คือวิธีการศึกษาและวิธีการทำงานของผม
ดังนั้นเวลาอ่านบทความเกี่ยวกับศาสนาและปรัชญาที่ผมเขียน ผู้อ่านควรเตือนตนเองก่อนว่า ให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลหนึ่ง อย่าเชื่อทั้งหมดทันที ให้ศึกษาเพิ่มเสมอ
ป.ล. วันนี้มาดึกหน่อย หวังว่าคงไม่ทำให้ปวดกะโหลกก่อนนอนล่ะ
วินทร์ เลียววาริณ
26-5-252 วันที่ผ่านมา