-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
วันนี้ผมไปร่วมงานฉลองครบ 50 ปีการเป็นนิสิตคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ
ช่วงเวลานี้ในปี 2518 ผมยังเป็นละอ่อน เข้าเรียนปีแรก พร้อมๆ กับเพื่อนใหม่รวม 83 คน
เวลาผ่านไป 50 ปีอย่างไม่น่าเชื่อ
ตอนนี้ทุกคนอยู่ในวัยแตะเลข 7
แปลกนะ ใจไม่ได้รู้สึกแก่ แต่ร่างกายอ่อนแรงลงอย่างรู้สึกได้
เวลาร่างกายร่วงโรย มันก็ร่วงโรยของมัน หนีไม่พ้น แต่ใจยังสามารถคงความหนุ่มสาวได้อยู่
โดยเฉพาะเมื่อมีความหลังที่สวยงาม น่าจดจำ
วันนี้ เรามาร่วมย้อนเวลากลับสู่เหตุการณ์ที่เด็ก 83 คนมาเจอกันครั้งแรกเมื่อ 50 ปีก่อน ที่นี่ จุดนี้
เด็ก 83 คนผ่านประสบการณ์มากมายที่นี่ ผ่านการเรียน ผ่านการสอบ ผ่านการทำกิจกรรม ผ่านการเที่ยวเล่น ผ่านชีวิตในสตูดิโอ ผ่านการนำเสนองาน ผ่านเกรด A B C D ไปจนถึง F ผ่านการนอนค้างคืนในสตูฯ ผ่านเส้นตายนับครั้งไม่ถ้วน
การพบปะเพื่อนร่วมชั้นเรียน หลังจากผ่านมาครึ่งศตวรรษก็เป็นความรู้สึกที่ดีและพิเศษ
วินทร์ เลียววาริณ
1 มิถุนายน 25680- แชร์
- 41
-
ผมเขียนเรื่องดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยามาหลายสิบปี ทุกครั้งที่เล่าเรื่องการค้นคว้าในอวกาศ หลุมดำ พลังงานมืด อารยธรรมต่างดาว ฯลฯ ผมมักได้ยินคำถามเดิมๆ เสมอ นั่นคือ "รู้ไปทำไม" และ "นี่เป็นอจินไตย"
แต่เราต้องระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย
อจินไตยไม่ได้แปลว่าให้หยุดเรียนรู้
ความรู้ก็คือความรู้ บางเรื่องดูไกลตัวมาก เหมือนไม่เกี่ยวกับเรา และเราก็มักติดป้ายอจินไตยในเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่เราได้ยินเสมอคือ เราส่งคนไปอวกาศทำไม จะส่องกล้องดูดวงดาวในกาแลกซีไกลโพ้นไปทำไม แทนที่จะใช้พัฒนาชีวิตมนุษย์บนโลกก่อน
แต่หากพ่อแม่เราป่วยไปโรงพยาบาล ต้องผ่าหัวใจด้วยระบบเลเซอร์ หรือหมอตรวจพบมะเร็งในตัวเรา สแกนร่างกาย หรือต้องทำแขนขาเทียม จะพบว่าทั้งหมดนี้มาจากการศึกษาเรื่องอวกาศที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเราทั้งสิ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เราขาดไม่ได้ในตอนนี้ เช่น GPS คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ก็มาจากการศึกษาอวกาศอันไกลโพ้นทั้งสิ้น
และที่ยกตัวอย่างนี้เป็นแค่ประโยชน์เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
มันก็เหมือนกับคนโบราณเมื่อสองล้านปีที่แล้วค้นพบการใช้ไฟ และเพื่อนบอกว่า จะเอาไฟไปทำอะไร
แต่ไฟทำให้สมองมนุษย์ขึ้นใหญ่ขึ้น และทำให้เราเป็นเราในวันนี้
อิสลามเคยเป็นเจ้าโลกในเรื่องวิทยาการ ดวงดาวส่วนใหญ่บนฟ้าในเวลานี้เป็นภาษาอิสลาม แต่ยุคทองของอิสลาม (ศูนย์กลางที่แบกแดด) ก็ล้มครืนทันที เมื่อผู้นำสั่งห้ามการแสวงหาความรู้ โดยอ้างศาสนา และไม่เคยฟื้นจนบัดนี้
เราจึงควรระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย มันเป็นคนละเรื่องกับการแสวงหาความรู้ เพราะวันใดที่มนุษย์หยุดหาความรู้ อารยธรรมมนุษย์ก็สูญสิ้นในวันนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา -
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในโลกเร่งรีบทุกวันนี้ จะมีโฆษณาสร้างนักเขียนแบบเร่งรีบ เป็นนักเขียนได้ในเวลาไม่กี่วัน
เรามีค่านิยมว่า ความสำเร็จมาเร็วๆ ได้ ในบางสายอาจจะใช่ แต่จากประสบการณ์ตรง ไม่น่าใช่สายนักเขียน
มีคนถามผมเสมอว่า ต้องใช้เวลาสร้างนักเขียนคนหนึ่งนานเท่าไร ปีเดียวพอไหม?
คำตอบของผมคือ 20-30 ปี
ได้ยินเช่นนี้ หลายคนไม่เชื่อ ส่วนคนที่เชื่อหลายคนก็ล้มเลิกความคิดจะเป็นนักเขียน
ผมบอกเสมอมาว่า นักเขียนมีสองแบบ นักเขียนธรรมดากับนักเขียนดี
นักเขียนธรรมดาแค่จับปากกาเขียนตัวหนังสือ ก็เป็นนักเขียนได้แล้ว
ส่วนนักเขียนดีนั้นต้องมีคุณสมบัติคิดลุ่มลึก จินตนาการกว้างไกล แต่งเรื่อง วางลำดับเรื่อง สามารถใช้ภาษาในระดับดี ไม่มีส่วนขาดส่วนเกิน เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานแต่ละชิ้นอย่างประณีตจะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ไม่มีทางเขียนเรื่องดีได้หากไม่ฝึกฝนยาวนาน
ลำพังการฝึกใช้ภาษาให้ถึงขั้น ‘นายของภาษา’ ก็ต้องใช้เวลายี่สิบปีขึ้นไป
การฝึกฝนก็เหมือนการเปลี่ยนจากธารน้ำสายน้อยเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ธารน้ำไม่สามารถกัดเซาะแผ่นดินได้ในทีเดียว ต้องค่อย ๆ สะสมพลัง ขยับขยายกลายเป็นลำน้ำใหญ่ขึ้น จึงมีแรงเซาะแผ่นดินโค่นภูผา รีบร้อนเกินไปก็ไร้พลังเซาะ ต้องบ่มเพาะจนสายน้ำมีพลังแรงพอ
นี่เองที่ทำให้เรื่องบางเรื่องทำเร็วไม่ได้ แม้อยากให้เร็วแค่ไหนก็ตาม
ยิ่งรีบยิ่งช้า
การฝึกเขียนก็เหมือนการออกกำลังกาย และอีกหลายกิจกรรมที่ดูเหมือนไม่สนุก เพราะเราคิดไปก่อนว่ามันไม่น่าสนุก
การติดป้ายกิจกรรม ‘สนุก’ และ ‘ไม่สนุก’ แยกชัดเจนทำให้เราเสียโอกาสทำเรื่องที่ไม่น่าจะสนุกให้สนุกได้ เพราะสนุกและไม่สนุกเป็นเรื่องนานาจิตตัง บางคนไม่สนุกกับการออกกำลังกาย บางคนกลับสนุกกับมัน ฯลฯ
ชีวิตคือการรักษาสมดุลของความชอบกับความไม่ชอบ คือการรักษาจังหวะความเร็วช้า ผ่อนหนักผ่อนเบา
ในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบทางสายกลาง ใช้เวลาแต่พอดี ไม่เร่ง ไม่ช้า เพราะเวลาคือดัชนีวัดระยะทางของชั่วชีวิต ไม่ใช่ชีวิตในตัวมันเอง
บางทีสุภาษิตไทย ‘ช้าเป็นการนานเป็นคุณ’ กับ ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ อาจไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่เป็นคนละ ‘โหมด’ ที่ใช้ต่างเวลากัน
บางเรื่องควรเร็วหน่อย บางเรื่องควรช้าหน่อย
รักษาสมดุลของเร็ว-ช้าได้ ชีวิตก็งดงามขึ้น
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25
...................................จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
สมัยเป็นเด็ก ผมใช้ชีวิตในห้องสมุดประชาชนเสมือนหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง ผมไปห้องสมุดทุกวันที่มันเปิด ห้องสมุดอนุญาตให้ยืมหนังสือกลับบ้านได้วันละสองเล่ม ผมรู้สึกว่าน้อยไป บ่อยครั้งจึงอ่านเล่มที่ 3 4 5... ในห้องสมุด นอกเหนือจากสองเล่มที่ยืมกลับบ้าน
วันหนึ่งขณะนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด วัยรุ่นแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ถามผมว่า “เวลาอ่านหนังสือ อ่านคำนำหรือเปล่า?”
ผมตอบว่า “เปล่า” เพราะไม่เคยอ่านคำนำ
วัยรุ่นแปลกหน้าก็นั่งลงสอนการอ่านหนังสือให้ถูกวิธี ชี้ให้เห็นความสำคัญของการอ่านคำนำ การอ่านคำนำทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร การอ่านสารบัญก็ทำให้เรารู้ขอบเขตเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น ว่าคนเขียนต้องการเสนออะไร ฯลฯ
ผมเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยชินกับการสนทนากับคนแปลกหน้า ก็อือ ๆ ออ ๆ แล้วรีบกลับบ้าน
บ่ายนั้นวัยรุ่นแปลกหน้าคนเดิมก็ตามมาหาผมถึงบ้าน เชื่อว่าเขาได้ที่อยู่ผมมาจากบรรณารักษ์ เขาบอกว่าบทเรียนที่ห้องสมุดยังไม่จบ ก็ตามมาสอนต่ออีกรอบหนึ่ง!
เป็นครั้งแรกที่มีครูมาสอนถึงบ้านโดยไม่ได้เชิญ
เป็นครั้งแรกที่แลเห็นความเมตตาและความปรารถนาดีของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
คนบางประเภทมีความเมตตาสูง และหวังดีต่อคนแปลกหน้า อยากให้คนอื่นพัฒนาตนเองดีขึ้น
ผมยังเคยผ่านประสบการณ์คนแปลกหน้าช่วยเหลืออีกหลายครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งฝนตกหนัก คนแปลกหน้ากางร่มไปส่ง เคยถามทางจากคนแปลกหน้า แล้วเขาก็นำทางเราไปถึงที่หมาย
ครั้งหนึ่งผมว่ายน้ำในสระสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมไม่เคยชอบว่ายน้ำ แต่จำเป็นต้องออกกำลังกาย ก็ว่ายไปแค่ให้รู้ว่าไปว่ายน้ำมาแล้ว
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเห็นวิธีว่ายน้ำของผมแล้ว ก็เข้ามาหา แล้วสอนวิธีว่ายน้ำที่ถูกต้องให้ผม
แม้สอนอยู่นาน และไม่ค่อยเข้าหัวคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไร แต่ก็แลเห็นว่าเขาเป็นคนมีเมตตา
แม่เพื่อนสนิทผมเป็นโรคอัลไซเมอร์ ครั้งหนึ่งนางไปงานเลี้ยงและคุยกับคนแปลกหน้าที่ร่วมโต๊ะ นางเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเล่าแล้ว คนแปลกหน้าฟังดูแล้ว พอคาดว่านางเป็นอัลไซเมอร์ ก็นั่งฟังนางเล่าอย่างตั้งใจ เหมือนฟังเป็นครั้งแรก ไม่เอ่ยท้วงว่า เคยฟังแล้ว
โลกมีตัวอย่างของคนแปลกหน้าที่ดีมากมาย
และโชคดีที่มันเป็นเรื่องจริง
..........................
เราอาจได้รับการสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่าให้ระวังคนแปลกหน้า ซึ่งอาจจะคิดร้ายกับเรา แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เพราะคนแปลกหน้าที่ดีก็มี คนใกล้ตัวที่แย่ ๆ ก็มีมาก
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ควรสอนก็คือการรู้จักวิเคราะห์ประเมินว่า คนแปลกหน้าคนหนึ่งหวังดีหรือร้าย
บ้านเราสมัยก่อนมีธรรมเนียมการวางตุ่มน้ำและกระบวยที่หน้าบ้าน สำหรับคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมาสามารถดื่ม นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนว่าคนเราไม่ได้แบ่งกันที่คนแปลกหน้ากับคนไม่แปลกหน้า
แต่แบ่งที่คนมีน้ำใจกับคนไม่มีน้ำใจ
บางครั้งคนแปลกหน้าที่มีน้ำใจก็ต้องหงายหลัง ชายคนหนึ่งขับรถผ่านสี่แยก แลเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน หันรีหันขวาง เหมือนคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง เขาจึงจอดรถ จูงคนแก่ไปขึ้นรถ แล้วบอกคนแก่ว่า จะขับไปส่งที่บ้าน
เขาขับรถออกไปขณะถามคนแก่ว่า “บ้านตาอยู่ตรงไหนก็ชี้ด้วย”
คนแก่มีสีหน้าตกใจ ชี้มือไปข้างหน้า ทำท่าจะพูด แต่พูดไม่ออก คนขับยิ่งเชื่อว่าชายชราเป็นคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง ก็ขับรถต่อไป บอกคนแก่ว่า “ใจเย็น ๆ ลองนึกดูว่าบ้านตาสีอะไร อยู่ตรงไหน”
คนแก่บอกว่า “บ้านกูก็อยู่ตรงจุดที่กูยืนอยู่เมื่อกี้นั่นแหละ กูกำลังรอใส่บาตรพระ มึงก็เสือกลากกูมา ไอ้เปรต...”
โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นแค่เรื่องขำขัน
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25 ................................... จากหนังสือ มากกว่าสามสิบสอง49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง
https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3Tทำไมควรซื้อหนังสือเล่มนี้: https://www.facebook.com/photo/?fbid=1207283390760350&set=a.208269707328395
1 วันที่ผ่านมา -
เขียน dak-done ท่านรัฐมนตรีรักชาติมาหลายวัน ขอพักก่อนชั่วคราวก่อนที่เพจจะถูกถล่ม
มาคุยเรื่องดาราศาสตร์ต่อ ปลอดภัยกว่า
มาถึงวันนี้ หลังจากเราค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา ที่เรียกว่า exoplanets นักจักรวาลวิทยาส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า น่าจะมีสิ่งทรงภูมิปัญญาข้างนอกโน้น เพราะมี exoplanets มากมายเหลือเกิน
เชื่อว่าภายในไม่กี่สิบปีนี้ เราจะพบว่าจักรวาลมี exoplanets มากกว่าจำนวนดวงดาวทั้งหมด และแน่นอน มากกว่าจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดบนโลกหลายเท่า
หากโลกเราก่อเกิดสิ่งทรงภูมิปัญญาเช่นมนุษย์ได้ ก็มีความน่าจะเป็นสูงที่ด้วยจำนวน exoplanets มหาศาลขนาดนี้ โลกอื่นก็น่าจะมีได้ด้วย
เราใช้เวลาราวสี่พันล้านปีพัฒนาชีวิตมาถึงจุดสิ่งทรงภูมิปัญญา แต่จักรวาลมีอายุราว 13.8 พันล้านปี เป็นเวลาที่ยาวพอที่น่าจะเกิดสิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงกว่าเรา บางสายพันธุ์อาจจะพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดไปแล้ว
แต่เราจะวัดระดับการพัฒนาของสิ่งทรงภูมิปัญญาอย่างไร?
ฟรีแมน ไดสัน นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำงานอยู่ที่สถาบัน Institute for Advanced Study แห่งมหาวิทยาลัยพรินซตัน (มหาวิทยาลัยเดียวกับไอน์สไตน์) ที่นี่ไม่มีนักเรียน ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีหน้าที่เจาะจงชัดเจน หน้าที่เดียวของเขาคือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ และเขาก็มักทำอย่างนั้น!
หนึ่งในงานตามใจชอบของเขาคือร่วมมือกับนักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย นิโคไล คาร์ดาชอฟ (Nikolai Kardashev) จัดประเภทอารยธรรมในจักรวาล
ทั้งสองแบ่งประเภทของอารยธรรมในจักรวาลเป็นสามประเภทคือ แบบ 1, แบบ 2 และแบบ 3 (Type I, Type II and Type III)
แบ่งยังไง? ก็โดยใช้การใช้พลังงานเป็นมาตรวัดระดับความเจริญ
อารยธรรมแบบที่ 1 สามารถควบคุมการใช้พลังงานทุกรูปแบบในโลกของพวกเขา สามารถควบคุมแก้ไขดินฟ้าอากาศ มหาสมุทร ทั้งยังสามารถดึงพลังงานจากใจกลางดาวเคราะห์ที่พวกเขาอาศัยอยู่มาใช้ได้
อารยธรรมแบบที่ 2 สามารถควบคุมพลังงานระดับดวงดาวได้ทั้งหมด ความต้องการพลังงานของอารยธรรมกลุ่มนี้สูงมากจนใช้พลังงานในระดับดาวเคราะห์หมด และต้องหันไปใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ของพวกเขาเป็นแหล่งพลังงาน
ไดสันเสนอความคิดพิสดารว่า อารยธรรมกลุ่มนี้อาจสร้างทรงกลมขนาดยักษ์ครอบดวงอาทิตย์เพื่อรับพลังงานได้หมดโดยไม่เสียของ สิ่งทรงภูมิปัญญากลุ่มนี้ยังทำการสำรวจและสร้างอาณานิคมในระบบดาวใกล้ๆ
อารยธรรมแบบที่ 3 อารยธรรมกลุ่มนี้ใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์หมดแล้ว จึงต้องเดินทางไประบบดาวอื่นๆ และพัฒนาเป็นอารยธรรมข้ามดาราจักร มีเทคโนโลยีขั้นสูงมาก
แล้วมนุษย์เราจัดอยู่ในกลุ่มไหน?
นักฟิสิกส์มีชื่ออีกคนหนึ่ง มิชิโอะ คะกุ บอกว่าเราจัดอยู่ในประเภท Type 0! เรายังล้าหลังมากในเรื่องการใช้พลังงาน เพราะเราใช้แต่ของที่เราขุดขึ้นมา นั่นคือเชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil fuel) คือถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชสัตว์ โบราณอายุล้านๆ ปี หรือหลายร้อยล้านปี
เมื่อเราใช้พวกมันหมดสิ้นแล้ว (ซึ่งต้องหมดในวันหนึ่งแน่นอน ด้วยอัตราการเผาผลาญแบบนี้) เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทน
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของเขา เราอาจก้าวสู่ขั้นที่ 1 ได้ภายในเวลา 1-2 ศตวรรษ ส่วนการจะเข้าสู่ขั้นที่ 2 คงกินเวลาสัก 800 ปี
หากอยากไปถึงขั้นที่ 3 คงกินเวลาราวหนึ่งหมื่นปีหรือมากกว่านั้น
ถ้าเราไม่ฆ่ากันตายเสียก่อน! วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา -
ในแต่ละอาทิตย์ ผมทำงานสองแบบ แบบหนึ่งตามแผนงานหลัก เช่น ปีนี้ต้องการนวนิยายหนึ่งเรื่อง เรื่องสั้นเจ็ดเรื่อง บทความห้าสิบบท ก็ทำงานไปตามนั้น
วางแผนทำงานให้เสร็จตามที่ตั้งไว้ และปฏิบัติตามแผนโดยเคร่งครัด
แผนนี้เผื่อเวลาสำหรับป่วยด้วย
งานพวกนี้จะมีต้นฉบับติดตัวเสมอ ไปที่ไหนก็ทำงานต่อได้เลย
แบบที่สองคือแบบ 'ขาจร' เช่น อ่านข่าวแล้วรู้สึกอยากแสดงความเห็น อ่านขำขันแล้วอยากเล่าต่อ ดูหนังบางเรื่องแล้วอยากแชร์ หรือเจอเหตุการณ์แปลกๆ ในวันนั้น ก็จะลงมือเขียนเลยก่อนสิ้นวัน
มิฉะนั้นจะเป็น 'ข่าวเก่า'
งานวิจารณ์หนังส่วนใหญ่มักจะทำเสร็จภายในสองชั่วโมงหลังออกจากโรงหนัง
งานขาจรจึงเป็นงานแบบที่ต้องเร็ว เหมือนนักข่าว
แม้แต่การทำภาพประกอบก็ต้องเร็ว มีเวลาคิดแค่ 1 นาที ทำอีกไม่เกิน 10 นาที
การมีคลังภาพในมือ ก็ช่วยได้มาก
จึงไม่แปลกที่มีคำผิดปนมาอยู่เรื่อย เพราะคีย์เร็ว
ถามว่าทำงานรีบๆ แบบนี้ดีหรือ?
ก็แล้วแต่มุมมอง ถ้ามองว่าเป็นการฝึกฝีมือแบบจอมยุทธ์ดาบไว ก็ได้
แต่สำหรับผม สิ่งที่ดีคือมันช่วยฝึกสมองให้คิดเร็ว กระฉับกระเฉง
ไม่สงวนลิขสิทธิ์
วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา