-
วินทร์ เลียววาริณ1 เดือนที่ผ่านมา
หลังจากมอบข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ให้ผู้สร้างหนังฮอลลีวูดแล้ว มาเฟียรายหนึ่งก็ขอเข้าพบท่านดอน คอร์เลโอเน
มาเฟียคนนี้ชื่อ ซอลลอซโซ หรือ 'ไอ้เติร์ก'
ซอลลอซโซได้รับการหนุนหลังจากตระกูลทาตตาเกลีย ขอให้ท่านดอนลงทุนเงินสองล้านเหรียญใน 'ธุุรกิจ' ใหม่ ซอลลอซโซขอรับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง คือยาเสพติด
ซอลลอซโซปลูกฝิ่นที่ตุรกี แล้วส่งไปทำเป็นเฮโรอีนที่ซิซิลี
เวลานั้น ดอน คอร์เลโอเน มีธุรกิจในอสังหาริมทรัพย์ การนำเข้าน้ำมันมะกอก บริษัทก่อสร้าง สหภาพ และการพนัน งานผิดกฎหมายทั้งหลายต้องใช้เส้นสายของตำรวจและนักการเมือง
ทอม เฮเกน บอกท่านดอนว่าควรเจรจาด้วย เพราะหากตระกูลคอร์เลโอเนไม่ทำ ตระกูลอื่นจะทำ และท้ายที่สุดตระกูลอื่นก็จะมีเงินและอำนาจมากพอโค่นตระกูลคอร์เลโอเนภายในสิบปี
ในวันพบกัน ซอนนีบุตรชาย ดอน คอร์เลโอเน อยู่ในการประชุมด้วย
ซอลลอซโซต้องการเงินสด แต่ที่สำคัญที่สุดคือเส้นสายตำรวจและนักการเมืองซึ่งตระกูลคอร์เลโอเนคุมอยู่ในมือ
ซอนนีแสดงความสนใจในธุรกิจใหม่นี้อย่างออกนอกหน้า
ดอน คอร์เลโอเน ไม่ชอบยุ่งกับยาเสพติด จึงปฏิเสธ ให้เหตุผลกับซอลลอซโซตรงๆ ว่า "เป็นความจริงที่ผมมีเพื่อนเยอะในวงการเมือง แต่พวกนั้นจะถอยห่างจากผมทันทีที่รู้ว่าผมยุ่งกับยาเสพติด ตอนนี้พวกนั้นยอมปล่อย เพราะเห็นว่าผมคุมเรื่องการพนัน ซึ่งเบากว่ายา..."
ซอลลอซโซบอกว่า "ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย ตระกูลทาตตาเกลียจะดูเรื่องนี้"
ซอนนีว่า "คุณหมายความว่าพวกทาตตาเกลียจะรับประกันการลงทุนของเรา"
ดอน คอร์เลโอเน ส่งสัญญาณให้ลูกชายหยุดพูด แล้วบอกซอลลอซโซยิ้มๆ ว่า "ผมสปอยล์ลูกๆ ทำให้พวกเขาพูดเมื่อควรจะเงียบ"
แล้วก็ยุติการประชุม บอกซอลลอซโซว่า "ขอให้โชคดีในธุรกิจของคุณ"
เมื่ออยู่ลำพังกับลูกชาย ท่านดอนก็ด่าลูกว่า "เอ็งเป็นอะไรวะ สมองไม่ทำงานหรือไง จงอย่าได้บอกใครนอกตระกูลเราว่าเอ็งคิดอะไรในหัว"
ท่านดอนรู้ว่าเรื่องไม่จบง่ายๆ อย่างนี้ จึงส่ง ลูกา บราซี เข้าไปทำงานกับตระกูลทาตตาเกลีย เพื่อล้วงความลับ
ลูกา บราซี คนนี้เป็นนักฆ่า ประวัติของเขาในหนังสือเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้แต่ลูกตัวเอง ลูกา บราซี ถูกจับเข้าคุก ท่านดอนช่วยออกมา และทำงานกับท่านดอน
ลูกา บราซี ก็ไปสมัครงานกับฝ่ายตรงข้าม แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าตาย แล้วส่งปลาตายตัวหนึ่งไปให้ตระกูลคอร์เลโอเน
'ปลาตาย' เป็นสารแบบซีซีเลียนโบราณ แปลว่า ลูกา บราซี กำลังนอนที่ก้นทะเล
เอาละ เล่าถึงตอนนี้ก็ต้องเบรกไปเล่าเรื่องโก้วเล้งก่อน
โก้วเล้ง? มังกรเมรัยมาเกี่ยวอะไรกับ The Godfather ด้วย?
เกี่ยว! เกี่ยวมากด้วย และผลของการเกี่ยวนี้ทำให้วงการนิยายกำลังภายในของจีนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
............................
ในเวลานั้นโก้วเล้งจมอยู่ในปลักของพล็อตนิยายกำลังภายในที่คลิเช่ ซ้ำซาก
เมื่ออ่าน The Godfather โก้วเล้งก็บรรลุซาโตริ พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กำลังภายใน เขาแปลง The Godfather เป็นนิยายกำลังภายใน กลายเป็นนิยายเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
ไม่ว่ามังกรขี้เมาทำเพราะ ก. เมา ข. ไอเดียตัน ค. เขียนไม่ทัน ง. ขาดเงิน หรือถูกทุกข้อ การลอกครั้งนี้ก็เป็นคุณประโยชน์กับวงการอย่างใหญ่หลวง
ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ เป็นเรื่องของเจ้าพ่อนาม เล่าแป๊ะ ในฉากแรกๆ ชาวบ้านคนหนึ่งไปหาเจ้าพ่อเพื่ออวยพรวันเกิดด้วยผักผลไม้ที่ดีที่สุดในไร่ของเขา อวยพรเสร็จแล้วก็ร้องไห้ เล่าความคับแค้นให้เล่าแป๊ะฟังว่า ลูกสาวของเขาถูกสองกงจื้อโฉดแห่งตระกูลที่มีชื่อเสียงข่มขืน
เล่าแป๊ะรับปากจะจัดการให้
เล่าแป๊ะก็ส่งลูกน้องไป 'จัดการ' คนที่ทำให้เพื่อนของตนเจ็บปวดถึงขนาดนี้
ฉากนี้คุ้น ๆ นะ!
เล่าแป๊ะมีลูกน้องคนหนึ่งเป็นนักฆ่าชื่อฮั่งทั้ง
โก้วเล้งบรรยายฮั่งทั้งว่ามี 'แววตาเหมือนปลาตาย'
ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ ฉบับหนังที่สร้างโดยชอว์บราเดอร์ส ฮั่งทั้งแสดงโดยหลอลี่ แบกคันเบ็ดไปไหนมาไหน
ฟันธงว่าแววตาเหมือนปลาตายกับการถือคันเบ็ดของฮั่งทั้งต้องได้รับอิทธิพลมาจาก 'ปลาตาย' ใน The Godfather แน่ๆ
ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ ฉบับหนังมีชื่อไทยว่า ศึกชุมนุมเจ้ายุทธจักร คนตั้งชื่อเรื่องคือ ว. ณ เมืองลุง
ใช่ ว. ณ เมืองลุง คนนี้นี่เอง งานนี้เขารับแปลบทหนังให้
เรื่องของโก้วเล้งสร้างเป็นหนังมากมาย เรื่องต่อๆ มาที่ ว. ณ เมืองลุง แปล ล้วนมีคำนำหน้าว่า 'ศึก' เช่น ศึกวังน้ำทิพย์ ศึกเสือหยกขาว ศึกวังค้างคาว ศึกเพชฌฆาตสะดึงแดง ฯลฯ
หลังจากที่โก้วเล้งแนะนำนักฆ่าหลายรูปแบบใน ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ บทบาทของ 'นักฆ่า' ในนิยายกำลังภายในก็ทวีขึ้นจนลายตา
มือสังหารหน้าใหม่ ๆ โผล่เข้ามาเพ่นพ่านในยุทธจักรหนังสือเป็นแถว งานชิ้นนี้ของโก้วเล้งส่งอิทธิพลต่อไปยังนักเขียนอื่น ๆ เช่น อึ้งเอ็ง คนสร้างตัวละครนักฆ่า ซิมเซ่งอี่ และสิบสามนักฆ่าในเรื่อง พยัคฆ์ลำพอง
นักฆ่ากลายเป็นองค์ประกอบใหม่ของนิยายกำลังภายในมาด้วยเหตุนี้ เพราะ The Godfather แท้ๆ
วินทร์ เลียววาริณ 10-7-25
1- แชร์
- 27
-
ปราชญ์ทางวิชาการต่อสู้จัดวิทยายุทธ์เส้าหลินของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเทือกเขาซงซานเป็นแนววิชากำลังภายนอก ขณะที่วิทยายุทธ์แห่งสำนักอู่ตัง (บู๊ตึง) ของนักพรตเต๋าปรมาจารย์จางซานเฟิง (เตียซำฮง) ณ เทือกเขาอู่ตังในหูเป่ยเป็นแนววิชากำลังภายใน ทั้งเส้าหลินและอู่ตังถือเป็นสองสำนักมาตรฐานแห่งแผ่นดิน
วัดเส้าหลินตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน (ซงซัว) เส้า เป็นชื่อภูเขา หลิน แปลว่า ป่า มีความหมายถึงสถานปฏิบัติธรรมในป่าแห่งภูเขาเส้า
ปรมาจารย์คนแรกของวัดเส้าหลินก็คือ พระโพธิธรรม หรือที่คนจีนเรียก ตั๊กม้อ นามนี้ปรากฏในนิยายจีนกำลังภายในนับไม่ถ้วนในฐานะจอมยุทธ์ผู้ให้กำเนิดคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น คัมภีร์ล้างกระดูก และสิบแปดฝ่ามืออรหันต์
ชาวโลกรู้จักวัดเส้าหลินว่าเป็นที่กำเนิดวิชาการต่อสู้ของจีนมาราวหนึ่งพันห้าร้อยปี เป็นสัญลักษณ์ของวิทยายุทธ์และนิยายจีนกำลังภายใน
นานปีหลังจากยุคของปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระวัดเส้าหลินถือเป็นหน้าที่ที่จะใช้วิทยายุทธ์ปกป้องแผ่นดิน เช่นการต่อสู้ในสงครามหู่เหลา (ค.ศ. 621) อันเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ถัง ไปจนถึงการต่อสู้ขับไล่พวกโจรสลัดวาโกะจากญี่ปุ่นที่รุกรานชายฝั่งจีนในศตวรรษที่ 16 ฯลฯ
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัดแห่งนี้ถูกเผาทำลายและสร้างใหม่หลายต่อหลายครั้ง ตำนานการทำลายครั้งใหญ่ที่สุดคือในปี ค.ศ. 1644 โดยรัฐบาลชิง เนื่องจากพระวัดเส้าหลินต่อต้านราชวงศ์ชิง หมายฟื้นฟูราชวงศ์หมิง ประวัติศาสตร์ท่อนนี้กลายเป็นตำนานที่ทำให้วิทยายุทธ์เส้าหลินระบือไกล จนทำให้คำว่า เส้าหลิน ยิ่งยึดแน่นเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางกาย อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่า ความเชื่อว่าพระโพธิธรรมเป็นผู้ให้กำเนิดวิทยายุทธ์เส้าหลินน่าจะเป็นตำนานมากกว่าเรื่องจริง บ้างก็ว่าเรื่องราววิทยายุทธ์ของพระโพธิธรรมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นหลัง ไม่ว่าอย่างไร ตำนานนี้ก็ฝังรากลึกในความเชื่อของคนทั่วไปเสียแล้ว
ความจริงก็คือวัดเส้าหลินเป็นต้นกำเนิดของเซน ซึ่งเป็นสายธารใหม่ที่แตกแขนงมาจากพุทธนิกายมหายานรวมกับเต๋า และปรมาจารย์ตั๊กม้อนั้นที่จริงแล้วเป็นถึงพระสังฆปริณายกแห่งจีน ซึ่งสืบสายมาจากพระพุทธองค์
ยังไม่มีการยืนยันที่มาของพระโพธิธรรมอย่างแน่ชัด แต่ตำราที่น่าเชื่อถือได้ชี้ว่า พระโพธิธรรมน่าจะเป็นเจ้าชายแคว้นคันธารราษฎร์ อินเดีย
อินเดียในสมัยโบราณเรียกว่า ชมพูทวีป มีอาณาเขตคลุมเจ็ดประเทศในปัจจุบัน คือ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และอัฟกานิสถานในปัจจุบัน
แผ่นดินอัฟกานิสถานในเวลานั้นเรียกว่า คันธารราษฎร์ เมืองหลวงคือ คันธาระ (ปัจจุบันเรียก กันดาฮาร์) ต่อมาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกทรงพิชิตอาณาจักรเปอร์เซีย บางส่วนของอินเดีย รวมทั้งคันธารราษฎร์ ชาวกรีกได้ปกครองคันธาระนานหลายร้อยปี จนมาถึงสมัยของกษัตริย์กรีกนามพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือพญามิลินท์ ทรงสนพระทัยในปรัชญา
ครั้งหนึ่งทรงพบพระนาคเสนมหาเถระปักกลดอยู่ และทรงสนทนาธรรมทั้งคืน จนถึงรุ่งเช้าก็ทรงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ บทปุจฉา-วิสัชนาครั้งนั้นได้รับการบันทึกเป็นพระสูตรที่เรียกว่า มิลินทสูตร หรือ มิลินทปัญหา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธในคันธารราษฎร์ก็เจริญรุ่งเรืองมาก มีการหล่อพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ พระพักตร์และรูปทรงแบบเทวรูปกรีก นอกจากนี้ยังมีการสลักพระพุทธยืนตามภูเขา เมื่อพวกตาลีบันครองอัฟกานิสถาน ได้ทำลายพระพุทธรูปเหล่านี้ไปแทบหมดสิ้น
เล่ากันว่าพระโพธิธรรมมีนัยน์ตาสีฟ้า ไว้หนวดเครารุงรัง เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญในสายธารธรรมท่านอื่น ๆ มีตำนานมากมายที่เล่าเกี่ยวกับพระโพธิธรรม ส่วนใหญ่กลายเป็นตำนานอิงอภินิหาร
ตำนานหนึ่งเล่าว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อนั่งวิปัสนากรรมฐานโดยการเพ่งผนังถ้ำนานถึงเก้าปี ประทับนานจนเงาที่ปรากฏบนผนังถ้ำเป็นรอยชัด! เพราะต้องนั่งกรรมฐานนาน ๆ ทำให้ท่านต้องฝึกวิชาเพื่อรักษาสุขภาพ ศาสตร์นี้เองที่สืบสานต่อมาเป็นวิทยายุทธ์แห่งเส้าหลิน
เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น พระโพธิธรรมทรงฝักใฝ่ทางธรรมมากกว่าทางโลก ก่อนเดินทางไปเผยแผ่ธรรมในเมืองจีน พระโพธิธรรมทรงครองตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ที่ 28 ของอินเดีย
อันตำแหน่งสังฆปริณายกนั้นสืบสายมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง องค์แรกคือพระมหากัสสปเถระ เป็นการถ่ายทอดธรรมแบบ 'จิตสู่จิต' พร้อมด้วยบาตร จีวร สังฆาฏิของพระพุทธองค์ที่สืบต่อกันมา และนี่ถือเป็นต้นกำเนิดของแนวทางการถ่ายทอดตำแหน่งในทางเซน
พระโพธิธรรมเป็นศิษย์ของพระปรัชญาตาระ พระสังฆปริณายกองค์ที่ 27 ของอินเดีย พระปรัชญาตาระนี่เองที่แนะนำให้พระโพธิธรรมเดินทางไปเผยแผ่ธรรมในเมืองจีน
พระโพธิธรรมใช้เวลาเดินทางสามปีถึงแผ่นดินจีน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่กวางโจว ตำนานเล่าว่าเมื่อไปถึงจุดหมาย ท่านก็อยู่ในสภาพหนวดเครารุงรัง จีวรเก่าเปื่อย
เวลานั้นเป็นช่วงรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ พระโพธิธรรมขึ้นฝั่งที่เมืองกวางโจว พระเจ้าเหลียงอู่ตี้ทรงทราบข่าวการมาถึงของพระรูปนี้ จึงทรงนิมนต์ท่านมาเมืองหลวงเพื่อสนทนาธรรม ได้ตรัสถามอาจารย์ตั๊กม๊อว่า "ตั้งแต่ครองราชย์มา เราได้ทะนุบำรุงพระศาสนามาโดยตลอด สร้างวัดวาอารามนับไม่ถ้วน จัดทำพระคัมภีร์มากมาย มิทราบว่าเราจักได้รับบุญกุศลมากน้อยเท่าใด?"
พระโพธิธรรมตอบว่า "ทรงมิได้บุญใด ๆ แม้แต่น้อย"
"ไฉนมิได้บุญอันใด?"
"เพราะเจตนาในการทำบุญนั้นไม่บริสุทธิ์"
ความจริงคือพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหลียงหรือราชวงศ์เหลียงใต้ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระหัตถ์เปื้อนเลือด ชิงบัลลังก์โดยสั่งฆ่าคนจำนวนมาก แต่ต่อมาทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธ
"เช่นนั้นอะไรคือบุญที่แท้?"
"ก็คือการรู้ที่แท้จริง สมบูรณ์ สาระของมันคือความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถรับบุญจากวัตถุทางโลก"
"เช่นนั้นอะไรคือหลักแรกของความจริงศักดิ์สิทธิ์?"
"ความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์"
"เบื้องหน้าเรานี้คือใคร?"
พระอาจารย์ตั๊กม้อตอบว่า "อาตมาไม่รู้"
แล้วพระโพธิธรรมก็ทูลลาจากไป
การพูดจาแบบห้วนและสั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพระโพธิธรรม แน่นอนพระจักรพรรดิทรงไม่พอพระทัยนัก แต่เมื่อสอบถามอำมาตย์และทรงทราบว่าพระโพธิธรรมเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ที่ 28 แห่งอินเดีย ก็ทรงเสียดายที่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมจากพระรูปนี้
(อ่านตอนต่อสัปดาห์หน้า)
วินทร์ เลียววาริณ
10-8-25
.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
ไหนๆ คุยเรื่องวันชาติสิงคปร์แล้ว ก็ต่ออีกหน่อย จะได้ขายยาไปด้วย (เคี้ยกเคี้ยก!)
เหตุผลเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา เรารบกับเพื่อนบ้านอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น
โอกาสมันค่อนข้างน้อยจนเกิดวาทกรรม "ทหารมีไว้ทำไม"
ลีกวนยูคิดเรื่องนี้ยังไง?
เมื่อสร้างชาติใหม่ขึ้น สิงคโปร์พบว่าตนอยู่อย่างเดียวดาย เพราะทหารอังกฤษกำลังคิดยกกลับบ้าน
คำสั่งแรกๆ ของลีกวนยูคือ "สร้างกองทัพ" เหมือนก่อนซื้อเครื่องเรือนเข้าบ้าน ควรสร้างรั้วบ้านก่อน
หากไม่มีกองทัพ จะทำอย่างไรหากมาเลเซียเกิดคลั่งชาติ บุกยึดสิงคโปร์ด้วยกำลัง?
ความจริงก็คือเกิดความขัดแย้งบ่อย ๆ ระหว่างคนมาเลย์กับคนจีน ทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ มีชาวมาเลย์จำนวนหนึ่งเห็นว่าไม่ควรให้สิงคโปร์แยกตัวไป ดังนั้นมันไม่ได้รับประกันว่า วันหนึ่งมาเลเซียจะไม่ยกทัพมาบุกยึดประเทศใหม่นี้
ตอนนั้นสิงคโปร์มีทหารราบสองกรม เป็นชาวอังกฤษ ทหารราบสองกรมเล็กเกินไปที่จะปกป้องประเทศ
ทีแรกลีกวนยูยังไม่ได้คิดถึงขั้นตั้งกองทัพเอง แต่หวังพึ่งอังกฤษ ลีกวนยูบินไปคุยกับผู้นำอังกฤษ บรรดาคนสำคัญในรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อหยั่งท่าทีเรื่องกองทัพอังกฤษในสิงคโปร์
ในปี 1966 ลีกวนยูกับรัฐมนตรีโกเคงซวีไปอังกฤษ เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษ เดนิส ฮีลีย์ (Denis Healey) บอกว่าขอซื้อฝูงบิน Hawker Hunter เดนิส ฮีลีย์ หัวเราะ บอกว่า “พวกคุณจะเอาไปทำไม เราอังกฤษจะปกป้องพวกคุณเอง”
ลีกวนยูรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แต่รู้ว่าวันหนึ่งอังกฤษจะไปแน่
ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น พึ่งตนเองดีที่สุด
หน้าที่สร้างกองทัพตกเป็นของโกเคงซวี (Goh Keng Swee) เดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาอาสาย้ายออกจากตำแหน่งการคลังเพื่อไปดูแลกลาโหม แล้วตั้งลิมกิมซัน (Lim Kim San) ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทน
พวกเขาตั้งกระทรวงที่รวมมหาดไทยเข้ากับกลาโหม เรียกว่า Ministry of Interior and Defense (MID กระทรวงมหาดไทยและกลาโหม) ฝึกตำรวจเป็นทหาร ทุกวันนี้ป้ายรถของกองทัพสิงคโปร์ก็ยังมีอักษรย่อ MID
ในเดือนมกราคม 1968 สิงคโปร์ซื้อรถถังขนาดเบาจากอิสราเอล เพราะอิสราเอลกำลังยกระดับอาวุธของตน ก็ขายให้ถูก ๆ ซื้อมา 72 คัน
สิงคโปร์ทาบทามอังกฤษให้ช่วยสร้างกองทัพ คำตอบคือ “ไม่”
ลีกวนยูบอกให้โกเคงซวีติดต่อทูตอิสราเอลที่กรุงเทพฯ มอร์เดอไค คีดรอน (Mordecai Kidron) ขอความช่วยเหลือ คีดรอนก็บินมาที่สิงคโปร์ พบลีกวนยู คุยกันเรื่องความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะช่วยสร้างกองทัพให้
ลีกวนยูบอกโกเคงซวีให้รอจดหมายตอบจากอียิปต์และอินเดียก่อน เพราะในเวลาใกล้กัน ลีกวนยูถามประธานาธิบดีอียิปต์ กามาล อับเดล นัสเซอร์ และนายกฯอินเดียที่เป็นเพื่อนเขา ลาล บาฮาดูร์ ชาสตรี ขอให้ช่วยสร้างกองทัพขนาดห้ากองพัน
ทั้งนัสเซอร์และชาสตรีปฏิเสธ
ลีกวนยูรู้สึกเสียใจที่เพื่อนปฏิเสธ ดังนั้นก็ไปติดต่อกับอิสราเอล แต่ทำแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกกระทบกระทั่งกับมาเลเซียที่เห็นสิงคโปร์กำลังจะสร้างกองทัพ เพราะยังมีกลุ่มมาเลย์ที่ไม่ต้องการให้สิงคโปร์แยกตัว
อิสราเอลตกลงช่วยสร้างกองทัพให้แบบลับ ๆ เพราะสิงคโปร์รู้ดีว่าประเทศโดยรอบ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นมุสลิมซึ่งไม่ถูกกับอิสราเอล
อิสราเอลส่งเจ้าหน้าที่ของ The Israel Defense Forces (IDF) มาช่วยสร้างกองทัพจากศูนย์ เรียกว่า Singapore Armed Forces (SAF) นายทหารอิสราเอลใช้ชื่อเรียกว่า The Mexicans เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ามาจากอิสราเอล
The Mexicans เป็นผู้ฝึก หลักสูตรทุกอย่างใช้ของอิสราเอล แม้แต่เรื่องการเกณฑ์ทหารและทหารกองหนุน ก็ใช้วิธีของอิสราเอล
ถึงปี 1971 สิงคโปร์มีกำลังทหาร 17 กองพัน (16,000 คน) ทหารกองหนุน 14 กองพัน (11,000 คน)
นอกจากนี้ยังได้นิวซีแลนด์มาช่วยฝึกทหารเรือ
พวกเขาออกกฎหมายให้ผู้ชายสิงคโปร์อายุ 18 ปีทุกคนต้องเป็นทหารสองปี เรียกว่า National Service (NS) เป็นภาคบังคับ หลังจากปลดประจำการ ก็อาจถูกเรียกตัวไปฝึกสมรรถนะร่างกายใหม่ ดังนั้นผู้ชายสิงคโปร์จึงเรียนจบมหาวิทยาลัยช้ากว่าผู้หญิงวัยเดียวกันสองปี
แน่นอนมีคนที่ไม่อยากเป็นทหาร และหนีทหาร ลีกวนยูก็ส่งพวกที่ถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" เข้าคุกไปหาคำตอบเองว่ามีทหารไว้ทำไม
บางคนหนีทหารไปหลายปี พบว่าไม่คุ้ม ก็ยอมกลับบ้านติดคุก
หลังจากสร้างกองทัพแล้วก็ถึงขั้นต่อไป สร้างเศรษฐกิจ
วินทร์ เลียววาริณ
10 สิงหาคม 2025อ่านที่มาและที่ไปของเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดในเล่ม สร้างชาติจากศูนย์
สารคดีเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของลีกวนยู รัฐบุรุษผู้สร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์ ที่เหมาะสำหรับผู้นำองค์กร ผู้บริการ นักการเมือง
21 เรื่อง ราคา 300 บาท = เรื่องละ 14.2 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว(ซื้อเดี่ยว) เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/248/สร้างชาติจากศูนย์
Shopee https://shopee.co.th/product/90206829/29061345680/
อีบุ๊ค The Meb https://www.mebmarket.com/ebook-320521-สร้างชาติจากศูนย์
1 วันที่ผ่านมา -
วันนี้ 9 สิงหาคม เมื่อ 60 ปีก่อน ถนนในเมืองสิงคโปร์เงียบเหงา เพราะผู้คนกลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย หลังจากทางการได้รับจดหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของสหพันธรัฐมาเลเซีย สั่งให้ตำรวจเปลี่ยนเจ้านาย ไปขึ้นตรงต่อรัฐบาลสิงคโปร์แทน และเตรียมรับเหตุร้าย
เวลาสิบโมงเช้า เสียงประกาศทางวิทยุกระจายเสียงก้องไปทั่วคาบสมุทรมาลายา ทำให้คนมาเลย์และสิงคโปร์สะดุ้งตกใจ
มันเป็นคำประกาศของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตุนกู อับดุล ระห์มาน ข้อความว่า “สิงคโปร์จะยุติการเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย และจะเป็นประเทศเอกราชตลอดกาล เป็นอิสระจากมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซียขอรับรองสถานะประเทศสิงคโปร์ และจะทำงานร่วมกันอย่างมีมิตรภาพ”
เป็นประกาศสามภาษา มาเลย์ อังกฤษ และจีนกลาง ออกอากาศซ้ำทุกครึ่งชั่วโมง และส่งข่าวไปให้สำนักข่าวทั่วโลก
แปลว่ามาเลเซียประกาศหย่าขาดกับสิงคโปร์
นี่เป็นข่าวที่ผู้นำรัฐสิงคโปร์ ลีกวนยูคาดไม่ถึง เขาแปลกใจว่าทำไม ตุนกู อับดุล ระห์มาน จึงรีบประกาศว่าประเทศแม่คือมาเลเซียประกาศตัดหางปล่อยวัดรัฐสิงคโปร์
มันเป็นเวลาสองปีหลังกำเนิดสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งรวมรัฐสิงคโปร์ด้วย มีความขัดแย้งกันหลายเรื่อง แต่ลีกวนยูไม่คาดว่าจะมีประกาศปุบปับอย่างนี้
ลีกวนยูเล่าว่า บางประเทศเกิดมาพร้อมเอกราช บางประเทศต้องต่อสู้เพื่อจะได้มา แต่สิงคโปร์ถูกโยนเอกราชมาให้
ธรรมเนียมปฏิบัติของคนมาเลย์คือผู้ชายสามารถหย่าภรรยาได้ โดยแค่เอ่ย “Talaq” (แปลตรงตัวว่าปลดปล่อย หมายถึง “ผมขอหย่าคุณ”) สามครั้ง ก็เท่ากับการหย่าเสร็จสิ้นโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายหญิง
มาเลเซียก็เอ่ย “Talaq” กับสิงคโปร์ในวันนั้น
ในปี 1965 สิงคโปร์ยังเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย แต่ความไม่ลงรอยระหว่างสองประเทศที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ทำให้ไปต่อไม่ได้
รัฐสภามาเลเซียโหวตให้ขับสิงคโปร์ออกไป
สิงคโปร์ไม่เคยคิดจะแสวงหาเอกราช หรือแยกทางกับมาเลเซีย แต่ในเมื่อมันเป็นหมากตาบังคับ พวกเขาก็ต้องเดินหมากต่อไป
เวลาก่อนเที่ยง ลีกวนยูปรากฏตัวที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์สิงคโปร์เพื่อแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า “คุณพอบอกได้ไหมว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เกิดการประกาศเช้านี้?”
ลีกวนยูอธิบายความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างมาเลย์กับสิงคโปร์ที่ดำเนินมานาน กล่าวว่า “ตลอดชีวิตของผม ผมเชื่อเรื่องการรวมตัวกัน และความเป็นหนึ่งของสองเขต ประชาชนเชื่อมกันทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง...”
พูดถึงตรงนี้เขาก็กลั้นก้อนสะอื้น บอกว่า “ผมขอหยุดสักครู่ได้ไหม?” ความรู้สึกท่วมท้นภายในทำให้เขาน้ำตาซึม และพูดต่อไม่ได้
มันไม่ใช่การถ่ายทอดสด สถานีจะแพร่ภาพตอนหกโมงเย็น ลีกวนยูขอให้ผู้อำนวยการสถานีวิทยุและโทรทัศน์สิงคโปร์ตัดท่อนที่เขาซับน้ำตาออก แต่ผู้อำนวยการบอกว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ประการหนึ่งเพราะผู้สื่อข่าวทั่วโลกจะรายงานข่าวนี้ การตัดภาพท่อนนี้ออกไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น อีกประการ มันแสดงถึงความจริงใจ
รายงานข่าวผู้นำสิงคโปร์ท่วมท้นด้วยความรู้สึกภายในแพร่ไปทั่วโลก หลายคนในมาเลเซียมีความเห็นว่า การร้องไห้ของผู้ชายส่อถึงความอ่อนแอ แต่ผู้ชมทางตะวันตก อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ดูเข้าใจดีกว่า
9 สิงหาคมจึงกลายเป็นวันชาติสิงคโปร์แบบถูกโยนมาให้
ไม่มีใครในโลกในวันนั้นเชื่อว่าประเทศใหม่นี้ไปรอด
แต่เกมพลิก สิงคโปร์กลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองที่สุดชาติหนึ่งในเอเชีย พาสพอร์ตที่ดีที่สุดในโลก ปลอดคอร์รัปชั่น ปลอดยาเสพติด สิงคโปร์โมเดลกลายเป็นโครงสร้างที่เติ้งเสี้ยวผิงนำไปใช้เปลี่ยนจีนหน้ามือเป็นหลังมือ
เป็นไปได้อย่างไร?
คำตอบคือเพราะสิงคโปร์มีจุดเดียวที่แตกต่างจากรัฐอื่น
นั่นคือผู้นำที่ชาญฉลาด ไม่โกงกิน และทำงานเพื่อชาติจริงๆ
ก็ขอแสดงความยินดีต่อวันเกิดครบรอบ 60 ปีของประเทศสิงคโปร์ในวันนี้ วินทร์ เลียววาริณ
9 สิงหาคม 2025อ่านที่มาและที่ไปของเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดในเล่ม สร้างชาติจากศูนย์
สารคดีเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของลีกวนยู รัฐบุรุษผู้สร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์ ที่เหมาะสำหรับผู้นำองค์กร ผู้บริการ นักการเมือง
21 เรื่อง ราคา 300 บาท = เรื่องละ 14.2 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
(ซื้อเดี่ยว) เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/248/สร้างชาติจากศูนย์Shopee https://shopee.co.th/product/90206829/29061345680/
อีบุ๊ค The Meb https://www.mebmarket.com/ebook-320521-สร้างชาติจากศูนย์
1 วันที่ผ่านมา -
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbe2b028ef0945bef36cbe
1 วันที่ผ่านมา -
นวนิยาย สี่ภพ มีองค์ประกอบเรื่องมากมาย เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน อ่านได้ลื่นขึ้น ผมจะแนะนำบางองค์ประกอบในเรื่อง เพื่อปูพื้นให้คนอ่าน โดยไม่สปอยล์เรื่องแต่อย่างใด
เริ่มจากบทที่ 1 มีคำว่า คากาน
คากาน (可汗 Khagan) ก็คือตำแหน่งสูงสุดของข่าน เป็นข่านแห่งข่าน หรือจอมข่าน
มองโกลมีธรรมเนียมเลือกผู้นำโดยสภาเกอรูไต (忽里勒台 Kurultai) เป็นสภากรมการการเมืองและการทหารของมองโกล มาจากคำว่า ‘เกอ’ แปลว่ารวมกัน เกอรูไตจึงแปลว่าการรวมกัน ประชุมกัน
จอมข่านทั้งหลาย เช่น เจ็งกิส ข่าน โอโกได ข่าน ล้วนต้องผ่านการเลือกจากสภาเกอรูไต
จากบันทึกประวัติศาสตร์บันทึกพิธีการเลือกจอมข่านในก๊กกระโจมทอง (ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของมองโกล) ว่า เมื่อเลือกผู้นำคนใหม่ พวกเขาจะให้ผู้นำคนใหม่นั่งบนผ้าขาว ยกเขาขึ้นสามครั้งจากนั้นแบกผู้นำคนใหม่เดินรอบกระโจม แล้ววางเขาบนบัลลังก์ ยื่นดาบทองใส่ในมือของเขา และผู้นำคนใหม่จะกล่าวคำสาบาน
พิธีเลือกผู้นำคนใหม่รวมการกินเลี้ยงและการละเล่นด้วย เช่น มวยปล้ำ ยิงธนู
การเลือกจอมข่านเป็นพิธีสำคัญ ผู้นำเผ่าต่าง ๆ จะต้องมาร่วมพิธี ครั้งที่ เจ็งกิส ข่าน ตาย ผู้นำที่กำลังรบอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ก็สั่งถอยทัพ กลับไปร่วมพิธี ไม่ว่าจะรบไกลถึงยุโรปหรือเปอร์เซีย ก็ต้องกลับไปร่วมพิธี
..........................
องค์ประกอบอีกหนึ่งที่ปรากฏบ่อยๆ ในเรื่องนี้คือ เคชิก
หน่วยเคชิก (怯薜 Kheshig) คือหน่วยรักษาความปลอดภัยของมองโกล มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์
เคชิกทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้ เจ็งกิส ข่าน ต่อมาก็ขยายไปสู่บรรดาผู้นำ การลอบสังหารผู้นำเผ่าเกิดขึ้นเสมอ เพราะชาวมองโกลอาศัยอยู่ในกระโจม หอกดาบแทงทะลุได้
เคชิกไม่เข้ารบในสงคราม เป็นเพียงองครักษ์เท่านั้น แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มองครักษ์กลางวันกับกลุ่มองครักษ์กลางคืน
เจ็งกิส ข่าน มีเคชิกถึงหมื่นคน ส่วนหลานชายของเขา กุบไล ข่าน มีเคชิกถึง ๑๒,๐๐๐ คน
..........................
องค์ประกอบที่สามคือ ฮัซซาซิน ปรากฏในภาคหลังๆ ของเรื่อง
ฮัซซาซิน (Hashshashin) เป็นนักฆ่า มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ Hashshashin เป็นที่มาของคำศัพท์อังกฤษ assassin แปลว่านักลอบสังหาร
ต้นคำเป็นภาษาอาหรับ Hashishi
ทฤษฎีหนึ่งว่า Hashish คือสารเสพติดอย่างหนึ่ง hashishi หมายถึงคนที่ใช้ยาเสพติดชนิดนี้ ทฤษฎีนี้บอกว่านักฆ่าสำนักนี้ใช้ยาเสพติดกล่อมประสาทตนเองก่อนฆ่าคน
อีกทฤษฎีคือ คำนี้มาจากคำอาหรับอียิปต์ hashasheen แปลว่าพวกตัวป่วน
บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่ากลุ่มฮัซซาซินเป็นพวกอิสลามนิกายชีอะห์ ผู้ก่อตั้งคือ Hasan-i Sabbah ตั้งเครือข่ายกำลังต้านอำนาจรัฐ มีการลอบสังหารศัตรู
องค์ประกอบเหล่านี้จะปรากฏในเรื่อง
ข้อมูลที่เล่ามานี้ ไม่ได้ใส่ในหนังสือทั้งหมด เพราะมันไม่ใช่สารคดี แต่บอกให้คนอ่านรู้เป็นความรู้รอบตัว เพื่อที่เวลาอ่านจะเห็นภาพชัดขึ้น
วินทร์ เลียววาริณ
8-8-25อ่านที่มาของงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ที่
https://www.facebook.com/photo?fbid=1352241359597885&set=a.208269707328395ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
2 วันที่ผ่านมา