-
วินทร์ เลียววาริณ6 วันที่ผ่านมา
แม้หนังหนัง A House of Dynamite จะเป็นเรื่องแต่ง แต่ในความจริง ก็เคยเกิดเหตุทำนองนี้ขึ้น
โลกมีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 12,000 ลูก พอจะทำลายทั้งโลกได้หลายรอบ ดังนั้นแต่ละประเทศจึงมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง
คืนวันที่ 26 กันยายน 1983 นาวาอากาศโท สตานิสลาฟ เยฟกราโฟวิช เปตรอฟ (Stanislav Yevgrafovich Petrov) อยู่เวรที่ศูนย์ดาวเทียมควบคุมสัญญาณเตือนภัย เรียกเป็นรหัสว่า Oko ตั้งอยู่ที่เขตทหาร Serpukhov-15 ใกล้กรุงมอสโก
เปตรอฟวัยสี่สิบสี่ มีหน้าที่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของขีปนาวุธของอเมริกา
เวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับโซเวียตอยู่ในขั้นเลวร้ายมาก ต่างงัดเอาอาวุธมาข่มกัน
เมื่อโซเวียตติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง SS-20/RSD-10 สิบสี่ลูก นาโตก็งัดหัวรบ Pershing II 108 ลูกออกมาใช้ในยุโรป พร้อมถล่มภาคตะวันออกของโซเวียตได้ในเวลาแค่สิบนาที นอกจากนี้ยังเพิ่มหัวรบพิสัยไกล BGM-109G เข้าไปอีก
โลกเข้าใกล้จุดเดือด ทั้งสองฝ่ายหันขีปนาวุธเข้าหากัน
ในวันที่ 23 มีนาคม 1983 ประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ประกาศทางโทรทัศน์ เสนอความคิดโครงการ The Strategic Defense Initiative หรือที่สื่อเรียกว่า ‘สตาร์ วอร์ส’ สร้างอาวุธที่สามารถสอยขีปนาวุธของศัตรูลงมา ก่อนที่มันจะถึงเป้าหมาย
แม้ ‘สตาร์ วอร์ส’ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่โซเวียตก็เชื่อว่าสหรัฐฯมีศักยภาพที่จะทำได้ เช่นที่เคยระดมนักวิทยาศาสตร์ทำระเบิดปรมาณู สำเร็จมาแล้ว
โซเวียตเชื่อว่าสหรัฐฯทำโครงการ ‘สตาร์ วอร์ส’ เพื่อใช้จัดการฝ่ายตน และสหรัฐฯจะยิงขีปนาวุธก่อนแน่
สตานิสลาฟ เปตรอฟ เกิดในครอบครัวทหารอากาศ พ่อเป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเรียนสายวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันวิศวกรรมเทคนิควิทยุชั้นสูงของกองทัพอากาศ แล้วรับราชการที่กองทัพอากาศในปี 1972 ทำงานด้านระบบเตือนภัยขีปนาวุธข้ามทวีปที่มาจากประเทศกลุ่มนาโต
หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย คอมพิวเตอร์บอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เครื่องรายงานว่ามีขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปลูกหนึ่ง พุ่งตรงมาที่โซเวียต ต้นทางคือสหรัฐฯ
ใจเขาเต้นแรงขึ้น
สหรัฐฯจะก่อสงครามเช่นนั้นหรือ? ในเวลานี้? ด้วยหัวรบเพียงลูกเดียว?
เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ เหตุผลเพราะหากสหรัฐฯจะโจมตีโซเวียตก่อน ไม่น่าจะใช้หัวรบเพียงลูกเดียว มันควรจะเป็นหลายร้อยลูก เพราะลูกเดียวไม่สามารถชนะโซเวียตได้ หากจะจู่โจมหวังผล ก็ต้องทำลายโซเวียตให้ราบเป็นหน้ากลอง สหรัฐฯย่อมรู้ดีว่า หากไม่พิชิตอีกฝ่ายให้ราบคาบก่อน พวกโซเวียตจะยิงขีปนาวุธสวนกลับไปแน่นอน
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่าคอมพิวเตอร์อ่านค่าผิดคือ ดาวเทียมดวงนี้เคยรวนมาก่อน อีกทั้งไม่ปรากฏการตรวจจับขีปนาวุธจากทางอื่น
นาทีนั้นเขาสรุปว่ามันเป็นการเตือนภัยที่ผิดพลาด จึงยังไม่แจ้งผู้บังคับบัญชาทันที แต่ในใจเขาก็ระทึก หากมันไม่ผิดเล่า? ถ้ามันเป็นขีปนาวุธจริงล่ะ?
เขาเฝ้ารอต่อไป
ผ่านไปหลายนาที จนเมื่อถึงกำหนดที่ขีปนาวุธควรเดินทางมาถึงแล้ว เขาก็รู้ว่าไม่มีการจู่โจมจากสหรัฐฯ คอมพิวเตอร์เตือนภัยรวน
ผ่านไปอีกไม่นาน คอมพิวเตอร์เตือนอีกว่ามีขีปนาวุธสี่ลูกมาจากสหรัฐฯ มุ่งหน้ามาที่โซเวียต เขาเชื่อว่าคอมพิวเตอร์รวนอีกรอบ
เขาเห็นว่าการเตือนครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป มันผ่านการตรวจสอบสามสิบขั้นตอนเร็วผิดปกติ จึงเชื่อว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านค่าผิด
เขาเชื่อว่ามันเป็นการเตือนผิดพลาด จึงตัดสินใจไม่รายงานเบื้องบนทันทีที่เกิดเหตุ
ต่อมามีการยืนยันว่าคอมพิวเตอร์รวนจริง มันเกิดจากการอ่านภาพการวางตัวของแสงอาทิตย์บนเมฆชั้นสูงเหนือรัฐนอร์ธ ดาโกตา กับวงโคจรของดาวเทียมโซเวียต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่มันก็เกิดขึ้น
เปตรอฟทำให้โลกพ้นจากสงครามอย่างหวุดหวิด โดยใช้ไหวพริบ สติ และปัญญา
ถ้าเขารายงานการพบหัวรบครั้งนี้ขึ้น มีโอกาสสูงที่เบื้องบนจะสั่งยิงตอบโต้ เพราะสถานการณ์การเผชิญหน้าสูงยิ่ง
นี่คือสามัญสำนึก สัญชาตญาณ ปฏิภาณ การวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และอ่านเกมไปพร้อมกัน
เขาบอกเบื้องบนภายหลังว่า การที่สหรัฐฯโจมตีด้วยหัวรบเพียงห้าลูกนั้นไม่สมเหตุสมผล
หลังเกิดเหตุ นายพล ยูรี โวตินท์เซฟ ผู้บัญชาการหน่วยป้องกันภัยขีปนาวุธทางอากาศ ได้รับรายงาน และกล่าวชมเชยเขาที่ตัดสินใจถูกต้อง สมควรได้รับรางวัล
แต่ต่อมา นอกจากจะไม่ได้รับรางวัล เปตรอฟกลับถูกเบื้องบนตำหนิ และถูกเบื้องบนสอบสวนอย่างหนัก ถูกย้ายไปทำงานตำแหน่งที่ต่ำลง
เขาเชื่อว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าระบบเตือนภัยของโซเวียตมีปัญหา ทำให้เจ้าหน้าที่ชั้นสูงและนักวิทยาศาสตร์เสียหน้า ทางการจึงชมเชยเขาไม่ได้ เพราะหากเขาได้รับคำชม คนเหล่านั้นก็ต้องถูกลงโทษ
ในปี 1984 เขาย้ายไปทำงานในสถาบันค้นคว้าด้านการเตือนภัย และลาออกก่อนเกษียณ บอกว่าจะไปดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็ง
มีรายงานว่าเขาบอกว่า “ผมเป็นแพะรับบาป” และมีอาการทางประสาท
แล้วเรื่องก็จบลงเพียงนั้น
เรื่องนี้ไม่เป็นข่าว จนหลายปีต่อมา มีการตีพิมพ์บันทึกของนายพล ยูรี โวตินท์เซฟ ในปี 1988 สื่อต่าง ๆ ทั่วโลกจึงเพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทั้งซีไอเอและเคจีบีที่เปิดเผยภายหลังชี้ว่า โซเวียตยังไม่สามารถรับมือกับขีปนาวุธ Pershing II จึงเชื่อว่าสหรัฐฯเอาแน่
ระบบเตือนภัยรวนที่เกิดขึ้นมาในจังหวะที่เลวร้ายที่สุด เข้มข้นที่สุด ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ของสองประเทศตกต่ำที่สุด โซเวียตเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯจะโจมตี
“ในเมื่อสหรัฐฯจะโจมตี เราก็ควรเล่นงานพวกนั้นก่อน”
ดังนั้นสถานการณ์ในคืนนั้นจึงอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ในสหรัฐฯหลายคนเชื่อว่า เหตุการณ์นี้เฉียดสงครามนิวเคลียร์มากที่สุดแล้ว เพราะพวกโซเวียตเชื่อว่าสหรัฐฯจะจู่โจมก่อน โดยเฉพาะจากประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ที่แข็งกร้าว
หลังจากโลกรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตานิสลาฟ เปตรอฟ ได้รับคำชมและยกย่องจากองค์กรและสถาบันต่าง ๆ โดยเฉพาะจากโลกตะวันตกและสหประชาชาติ
ในปี ค.ศ. 2006 องค์การสหประชาชาติมอบรางวัล World Citizen Award ให้เขา
ปี 2013 เยอรมนีมอบรางวัล The Dresden Peace Prize ให้เขา
เดรสเดนเป็นเมืองในเยอรมนีที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมในปี 1945 ด้วยเครื่องบิน 1,249 ลำ ระเบิดกว่า 3,900 ตันในคืนเดียว เมืองทั้งเมืองถูกเผาราบเรียบ ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องเตือนความเลวร้ายของสงครามล้างโลก
สองปีหลังจากเหตุการณ์นี้ มิคกาอิล กอร์บาชอฟ ขึ้นเป็นผู้นำโซเวียต ได้พบกับประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ที่ไอซ์แลนด์ และเจรจาหาทางแก้ปัญหา โดยตกลงค่อย ๆ ลดการผลิตอาวุธ นิวเคลียร์
สตานิสลาฟ เปตรอฟ ถึงแก่กรรมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2017 และได้รับรางวัล Future of Life Award ที่นิวยอร์ก โดยบุตรสาวเป็นผู้รับรางวัลแทนพ่อ
ในพิธีมอบรางวัล บันคีมุน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่าสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯกับโซเวียตเกือบได้เกิด หากมิใช่เพราะการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ สตานิสลาฟ เยฟกราโฟวิช เปตรอฟ ด้วยเหตุผลนี้ เขาสมควรได้รับคำขอบคุณอย่างสูงจากชาวโลก และสมควรที่ชาวโลกทำงานด้วยกันเพื่อจะได้โลกที่ปราศจากความกลัวอาวุธนิวเคลียร์ และจดจำวิจารณญาณที่กล้าหาญของ สตานิสลาฟ เปตรอฟ
เปตรอฟบอกเสมอว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษ
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงหน้าที่การงานของผม ผมแค่ทำงานของผม ผมเพียงอยู่ถูกที่ถูกเวลา ก็แค่นั้น”
เขาบอกว่าเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง
เธอเคยถามเขาว่า “คุณทำอะไรหรือเปล่า?”
เขาตอบว่า “เปล่า ผมไม่ได้ทำอะไร”
วินทร์ เลียววาริณ
1-11-25..................
ย่อความจากหนังสือสารคดี วีรบุรุษที่เราลืม
แจกฟรีเมื่อซื้อชุดสารคดี ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม)
เหมาะสำหรับเก็บประจำบ้าน ให้ลูกหลานประกอบการเรียน
1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
แต่ละเล่มหนา 256 หน้า (รวม 1,536 หน้า)
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน เหมาะเป็นของขวัญ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วสั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1- แชร์
- 24
-

พญาอินทรีอักษร 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นคนสร้างศัพท์ใหม่ 'ญาติน้ำหมึก' หมายถึงนักเขียนนักอ่านที่อยู่ในวงการเดียวกัน รักเขียนรักอ่านเหมือนกัน แม้ไม่ได้เจอหน้ากันโดยตรง ก็สนิทสนมกันดั่งญาติ รักกันผ่านตัวหนังสือ
ผมพบญาติน้ำหมึก บินหลา สันกาลาคีรี ครั้งแรกที่สวนทูนอิน นิวาสสถานของพญาอินทรีอักษรที่เชียงใหม่ บินหลา 'บิน' มากับจักรยานคู่ชีพของเขา เราพบกัน --- หากใช้คำของเขา --- "เราพบกันเพราะหนังสือ" เพราะหากเราคนใดคนหนึ่งไม่เขียน ก็คงไม่มีโอกาสพบกัน
คิดย้อนหลังดูก็ประหลาด เราคล้ายกันหลายอย่าง อย่างแรก เราต่างฝันอยากพบพญาอินทรีอักษร และได้พบเพราะ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ รู้จักบินหลาจากเรื่องจักรยาน (หลังอาน) และรู้จักผมจาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน บนหน้ามติชนสุดสัปดาห์เหมือนกัน
โลกของคนเขียนหนังสือวนเวียนในพื้นที่เดิมๆ เราพบกันหลายครั้งตามงานหนังสือ ไม่ค่อยคุยกัน ผมไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้วโดยนิสัย บินหลาทำงานให้มติชน ผมก็เป็น --- หากใช้คำของเขา --- เป็น 'guest writer' ของมติชน เพราะนักเขียนคือผู้เดินทาง ฝากตัวหนังสือไว้ตามเวทีต่างๆ
พื้นเพของเราต่างเริ่มต้นที่สงขลา (เขาเรียนชั้นประถมเดียวกับน้องสะใภ้ของผม) เข้ากรุง เข้าจุฬาฯ เขียนหนังสือ เดินทาง เขียนหนังสือ เดินทาง เขียนหนังสือ บินสวนทางกันบ้างบางครา ต่างแสวงหาตำแหน่งของเราเองในโลกศิลปะ บินไปทีละหลา
เราผ่านเวทีรางวัลวรรณกรรมเดียวกัน ต่างสนใจเรื่องชีวิตผู้คน สังคม ประวัติศาสตร์ ฯลฯ เหมือนกัน ต่างเดินทางเข้าหาพื้นที่ภายในของเราเหมือนกัน
บินหลาเคยกล่าวว่า “มนุษย์ไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นสอน แต่เรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองตกผลึก" ผมเห็นด้วย
นานปีให้หลัง เราพบว่าเรายังคงวนเวียนอยู่ในโลกหนังสือ ไม่ยอมย้ายไปที่วงการอื่น ราวกับสนามแม่เหล็กของโลกหนังสือทรงพลังดึงดูดให้ไม่ไปไหน
เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่เคยถามตัวเองว่าเขียนหนังสือไปทำไม การเขียนหนังสือเป็นการยังชีพอย่างหนึ่งที่ผมทำได้และเลือกทำ"
“เส้นทางสายนี้เดินยาก เป็นทางกันดาร ทางขรุขระ น้อยคนจะเดิน" เช่นกัน ผมเห็นด้วย
โลกหนังสือดูเหมือนแคบลงทุกวัน ญาติน้ำหมึกอาจดูน้อยลง แต่บินหลาทำให้ผมยังเชื่อว่า นักเขียนยังสามารถบินไปทีละหลาในโลกหนังสือที่หลายคนเห็นว่ามันแคบและล้าสมัยแล้ว ทว่าในสายตาของเรา โลกหนังสือนี้กว้างใหญ่ไพศาลไปชิดนิรันดร
วินทร์ เลียววาริณ
7 พฤศจิกายน 25681 วันที่ผ่านมา -

เมื่อพูดถึงตำนานนักแต่งเพลง เอนนิโอ มอร์ริโคเน ก็ต้องเล่าเรื่องของผู้กำกับคู่บุญ เซอร์จิโอ เลโอเน คู่นี้ทำหนัง-แต่งเพลงด้วยกันหลายเรื่อง
และเรื่องที่ดีที่สุดของ เซอร์จิโอ เลโอเน ในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ Once Upon a Time in the West เพลงที่มอร์ริโคเนแต่งให้หนังเรื่องนี้ก็ดีเยี่ยม ไม่ว่าเพลงในท่อนท้าย หรือเพลงช่วงเล่นฮาร์โมนิกา
ในปี 2521 หนังความยาว 3 ชั่วโมง 4 นาทีเรื่อง Deer Hunter เข้ามาฉายในบ้านเรา (ถ่ายทำที่บ้านเราด้วย) ท่อนแรกของหนังเป็นการปูเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ท่อนที่สองเป็นฉากที่เพื่อนกลุ่มนี้เข้าร่วมสงครามเวียดนาม ในโรงหนังต่างจังหวัด ท่อนแรกยาวร่วมชั่วโมงนี้ถูกหั่นทิ้ง หนังเปิดเรื่องที่สงครามเลย
นี่คือการกระทำของคนที่ไม่เข้าใจหนัง เหมือนชงกาแฟโดยเทกาแฟออกครึ่งถ้วย แล้วเติมนมเข้าไปแทน
สตูดิโอใหญ่ๆ ในอเมริกามีประวัติเรื่องทำลายหนังมาตลอด หนังดีจำนวนมากถูกนายทุนทำลายป่นปี้ เพราะไม่เข้าใจศิลปะ ตัวอย่างเช่น Blade Runner ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ถูกนายทุนสั่งให้ตัดบทใหม่ "ขอจบแบบแฮ็ปปี้ เอนดิ้ง นะ" หนัง ‘แป้ก’ แต่ต่อมาก็กลายเป็นหนังฮิต โดยเฉพาะเมื่อผู้กำกับแก้ไขเป็นเวอร์ชั่น Director's Cut
เรื่อง Dune (1984) นายทุนไปตัดต่อหนังเองโดยที่ผู้กำกับทำอะไรไม่ได้ ผลคือเละ
อีกเรื่องหนึ่งที่ประสบชะตากรรมเดียวกันคือเรื่อง Once Upon a Time in the West ผลงานของ Sergio Leone หนังความยาว 229 นาทีถูกตัดเหลือ 139 นาทีสำหรับให้ชาวอเมริกันเสพ ตัวละครบางตัวหายไป ตัดแฟลชแบ็คทิ้ง ผลคือเละ
เหตุที่ Once Upon a Time in the West ‘แป้ก’ ในอเมริกา (ประเทศที่หนังเรื่อง The Shawshank Redemption ขายไม่ออก) อาจเพราะคนดูอเมริกันรู้สึกแปลกๆ ที่หนังคาวบอยอเมริกันสร้างโดยพวกอิตาเลียน หรือเพราะดูหนังแบบนี้ไม่เป็น นักวิจารณ์อเมริกันบางคนด่าเรื่องนี้เละ บอกว่าหนังเดินช้าไป (ขนาดหั่นหนังออกไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว!)
ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ หนังเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงในยุโรป ณ วันนี้มันได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ที่ดีที่สุด และอาจถือเป็นหนังคาวบอยที่ดีที่สุดด้วย แม้แต่ห้องสมุดคองเกรสสหรัฐฯก็ขึ้นหิ้งเป็นหนังที่ต้องอนุรักษ์ นักสร้างหนังแนวหน้าหลายคนยกให้เรื่องนี้เป็นครู เช่น มาร์ติน สกอร์เซซซี จอร์จ ลูคัส เควนติน ทาแรนติโน และเจ้าพ่อ Breaking Bad วินซ์ กิลลิแกน
(ทาแรนติโนเดิมคิดจะตั้งชื่อหนังเรื่อง Inglourious Basterds ว่า Once Upon a Time in Nazi-Occupied France แต่ตอนหลังให้มันเป็นชื่อตอนแรกของเรื่อง และหลายปีให้หลังก็สร้าง Once Upon a Time in Hollywood)
..............
Once Upon a Time in the West เปิดเรื่องที่สถานีรถไฟกลางพื้นที่รกร้าง นายสถานีชราเห็นชายแปลกหน้าสามคนนั่งรอรถไฟที่กำลังจะมา ทั้งสามพกปืนมาด้วย แกรู้ว่าทั้งสามเป็นมือปืน แมลงวันตัวหนึ่งบินมาตอมหน้ามือปืนคนหนึ่ง เขาปัดมันไป แต่มันบินมาตอมเขาอีก เขาจับมันด้วยกระบอกปืน เสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล รถไฟแล่นเทียบชานชาลา ผู้โดยสารหลายคนก้าวลงมา แต่ไม่มีเป้าหมายที่สามมือปืนรอ เมื่อรถไฟแล่นออกไป มือปืนทั้งสามจึงเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งกำลังมองพวกเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของราง ชายคนนี้ยกฮาร์โมนิกาขึ้นเป่าเบาๆ เสียงปืนพลันดังขึ้น มือปืนทั้งสามลงมือ แต่ทั้งสามล้มคว่ำ มือปืนฮาร์โมนิกาไวกว่า
ฉากแรกของหนังมีเพียงเหตุการณ์เดียว คือการดวลกัน แต่ใช้เวลายาวถึง 13 นาที (ดวลครึ่งนาที ปูอารมณ์ 12 นาทีครึ่ง!)
Once Upon a Time in the West เป็นหนัง slow burn แต่ละฉากเดินช้า แต่ละเมียดละไม ไม่ใช่หนังคาวบอยประเภทยิงกันวินาศสันตะโรทั่วไป และเป็นหนังที่สร้างโดยชาวอิตาเลียน
เราเรียกตระกูลงานคาวบอยที่สร้างโดยอิตาเลียนว่า Spaghetti Western หรือที่บ้านเราเรียก คาวบอย สปาเก็ตตี้
Spaghetti Western โด่งดังมากในยุค 60-70 ไม่ได้สร้างกันแค่เรื่องสองเรื่อง มันมีจำนวนถึงกว่าหกร้อยเรื่อง และในบรรดาผู้กำกับหนังแนวนี้ Sergio Leone ถือเป็นเบอร์ 1 งานของเขาจับคู่กับนักแต่งเพลงที่เก่งที่สุดในโลก เอนนิโอ มอร์ริโคเน
ผลงานของ Sergio Leone ที่ดังมากคือชุดไตรภาค Dollars Trilogy คือ A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965) และ The Good, the Bad and the Ugly (1966) ทั้งสามเรื่องเล่นโดย คลินท์ อิสต์วูด สมัยยังหนุ่มมาก ดังมากในบ้านเรา
แต่ Sergio Leone โดดเด่นที่สุดในเรื่อง Once Upon a Time in the West มันยกระดับหนังคาวบอยเป็นหนังอาร์ต
เรื่องนี้มีตัวละครหลักสี่คน ผู้หญิงหนึ่ง ชายสาม ทั้งหมดเป็นตัวละครสีเทา บางคนก็ออกเทาสว่าง บางคนก็ดำไปเลย
คนร้ายหลักคือ 'แฟรงก์' รับบทโดย เฮนรี ฟอนดา นักแสดงใหญ่ที่ปกติรับบทคนดี เมื่อได้รับเสนอบทคนร้าย เขาก็ปฏิเสธ ไม่อยากเปลืองตัว
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับอยากได้ตัวเขามาก จึงบินไปหาฟอนดาที่นิวยอร์ก บอกเขาว่า “ลองนึกภาพดูนะ กล้องจับภาพช่วงล่างของมือปืน เขาชักปืนขึ้นมายิงเด็กที่กำลังวิ่งหนี กล้องพาดขึ้นจับที่ใบหน้าของมือปืนโหด ก็คือ เฮนรี ฟอนดา”
ฟอนดารับบทนี้ในที่สุด คนรอบตัวไม่มีใครเห็นด้วย
ปรากฏว่าฟอนดารับบทคนร้ายได้ดีมาก ดูน่ากลัว และได้รับคำชื่นชมว่าแสดงดี
ตัวละครสีเทาคนหนึ่งคือ 'ไชแอน (Cheyenne)' รับบทโดย เจสัน โรบาร์ดส์ นักแสดงคุณภาพ (คนที่รับทบรรณาธิการ Ben Bradlee ในหนังเรื่อง All the President's Men และคว้าตุ๊กตาทองในปีนั้น)
ตัวละครหลักอีกคนคือบุรุษลึกลับ เรียกว่า ฮาร์โมนิกา รับบทโดย ชาร์ลส์ บรอนสัน
เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนมาก แต่วิธีเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าติดตาม การเดินเรื่องโดยให้ตัวละครคนหนึ่งพาไปเปิดตัวตัวละครอีกคนหนึ่งทำได้น่าสนใจ หนังไม่ค่อยเล่าโดยบทพูด แต่เล่าด้วยภาษาหนัง ตัวละครสร้างความสัมพันธ์ด้วยการกระทำมากกว่าบทพูด เช่น เรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างไชแอนกับฮาร์โมนิกาโดยไม่ได้รู้จากบทพูด แต่รู้จากแววตา สีหน้า การกระทำ เรารู้ว่ามิตรภาพเกิดขึ้นจากการสัมผัสของเราเอง
เราไม่รู้ว่าตัวละคร ฮาร์โมนิกา เป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร และเรื่องก็พาไปถึงจุดไคลแม็กซ์โดยแทบไม่ปูเรื่อง (establishing) มาก่อน ซึ่งผิดหลักการแต่งเรื่องโดยทั่วไป แต่เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะมันปูเรื่องไม่ได้ ทำได้อย่างมากที่สุดคือคำพูดของฮาร์โมนิกาว่า "จะบอกเมื่อถึงจุดที่มีคนตาย"
หนังเดินด้วยจังหวะเนิบ มุมกล้องดี ดนตรีดี เนื้อเรื่องน่าสนใจ จับอารมณ์ความดิบในยุคคาวบอย หนังมีกลิ่นของปรมาจารย์ อะกิระ คุโรซาวา (ผู้สร้าง เจ็ดเซียนซามูไร) ซึ่งมีอิทธิพลต่องาน คาวบอย สปาเก็ตตี้ ไม่น้อย
หากจะมีจุดรำคาญสายตาคือ การใช้ฟอนต์ในไตเติลซึ่งสะท้อนความนิยมในยุคนั้น ตัวหนังสือวิ่งไปมา พลิกแล้วหมุน เหล่านี้ดูรุงรังไปหน่อยสำหรับหนังเรียบง่าย แต่ก็คงเป้นเครื่องสะท้อนหลักไมล์ของวงการกราฟิกในภาพยนตร์
ที่โดดเด่นไม่แพ้ตัวหนังก็คือดนตรีประกอบโดย เอนนิโอ มอร์ริโคเน ดนตรีประกอบสุดยอด จับวิญญาณเราจนดิ้นไม่หลุด เสียงเพลงฮาร์โมนิกาทั้งเรื่องประพันธ์โดยปรมาจารย์ เอนนิโอ มอร์ริโคเน สุดยอดมาก นี่เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องที่ใช้เครื่องดนตรีฮาร์โมนิกาได้อย่างทรงพลัง (อีกเรื่องหนึ่งที่นึกออกทันทีคือ Midnight Cowboy งานดนตรีของ จอห์น แบร์รี)
ไม่ทุกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะหากทนดูฉากเปิดเรื่องยาว 13 นาทีไม่ได้ อาจจะทรมานและดูไม่จบ (เช่นที่ทนฉากเปิดเรื่อง 2001: A Space Odysey ไม่ได้) แต่ถ้าเข้าถึง จะชอบเรื่องนี้มาก นี่ไม่ใช่หนังที่ดูเอาพล็อต แต่ดูเอาอารมณ์
สุดยอด
ป.ล. นักแสดงหลักของเรื่องนี้ รวมทั้งผู้กำกับและนักแต่งเพลง ล้วนจากโลกไปแล้ว คนล่าสุดเพิ่งจากไปเมื่อสองเดือนก่อนคือ คลอเดีย คลาดิเนล R.I.P.
10/10
วินทร์ เลียววาริณ
5-11-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
2 วันที่ผ่านมา -

ช่วงนี้มีข่าวคนสิงคโปร์ไปเกี่ยวพันกับมิจฉาชีพที่เขมรและอื่นๆ ทางการสิงคโปร์ก็ยึดทรัพย์ทันที และล่าสุดเมื่อวานนี้ สภาสิงคโปร์ผ่านกฎหมายเฆี่ยนพวก scammers (นักต้มตุ๋น) เป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษพวกมิจฉาชีพ
ผู้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานหลอกลวงจะโดนไม้เรียว 6-24 ที
เอาให้เข็ด
สแกมเมอร์สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวโลกอย่างหนักหนาสาหัส เฉพาะสิงคโปร์ ชาวบ้านสูญเงินไปกับมิจฉาชีพไป 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อปีก่อน
ความจริงกฎหมายเฆี่ยน (corporal punishment) ไม่ได้เริ่มโดยสิงคโปร์ แต่โดยพวกอังกฤษ ลีกวนยูแค่ตั้งใจไม่ทิ้งกฎหมายฉบับนี้เท่านั้น เพราะเห็นว่าไม้เรียวได้ผลกว่าค่าปรับและการจำขัง
มีการกระทำผิดราว 35 รายการที่จะต้องโทษเฆี่ยน เช่น การปล้น จับคนเรียกค่าไถ่ ฆาตกรรม ค้ายาเสพติด ละเมิดทางเพศ (เช่น ไปจับต้องของสงวนหญิงสาว) การข่มขืน พกอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต การปล่อยเงินกู้โดยผิดกฎหมาย รวมถึงคนต่างชาติที่อยู่เกินกำหนด 90 วัน (เพื่อขจัดปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย) เป็นต้น
เจ้าหน้าที่เฆี่ยนหรือที่เรียกว่า ‘คอมมานโด’ เป็นมืออาชีพ รูปร่างใหญ่ แข็งแรง ฝึกมาทำงานนี้โดยเฉพาะ เวลาเฆี่ยน น้ำหนักตัวของคนเฆี่ยนจะทำให้การหวดแรงขึ้น เพื่อให้เจ็บที่สุด
ไม้ที่ใช้เฆี่ยนเป็นหวาย เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.27 เซนติเมตรหรือครึ่งนิ้ว ความเร็วของไม้เรียวที่ฝ่าอากาศอาจสูงถึง 160 กม./ชม. ด้วยความแรงขนาดนี้ เมื่อหวายสัมผัสก้นเปลือย เนื้อก็ฉีก
การเฆี่ยนมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เฝ้าดูทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะตรวจร่างกายก่อนว่าร่างกายพร้อมรับการลงโทษหรือไม่
ถ้าร่างกายไม่พร้อม นักโทษจะถูกส่งตัวไปที่ศาลใหม่ เพื่อให้ศาลตัดสินว่าจะยกเลิกการเฆี่ยน หรือเปลี่ยนการเฆี่ยนเป็นเพิ่มเวลาจองจำแทน แต่เพิ่มได้ไม่เกิน 12 เดือน
ในการเฆี่ยน นักโทษต้องแก้ผ้า โค้งตัวเข้ากับขาหยั่งไม้ เจ้าหน้าที่ติดอุปกรณ์ป้องกันแผ่นหลังส่วนล่าง เพื่อไม่ให้โดนหวายในตำแหน่งที่อาจก่ออันตรายต่ออวัยวะภายใน เช่น ไต หรือกระดูกสันหลัง ในกรณีที่หวดพลาด
การหวดเว้นระยะเวลา 30 วินาที ต้องหวดให้จบในรอบเดียว ไม่มีการต่อวันหลัง
ถ้าต้องหวดจำนวนครั้งสูง (สูงสุด 24 หวดต่อคดี) อาจใช้คอมมานโด 2-3 คน เพื่อให้แรงหวดเท่ากัน ไม่แผ่วลง
ระหว่างหวด ถ้าสภาพนักโทษไปต่อไม่ไหว เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะสั่งยุติการเฆี่ยน ส่งกลับไปที่ศาลพิจารณาใหม่
ในกรณีที่มีการเฆี่ยนนักโทษหลายคนในวันเดียวกัน คนที่มีโทษจำนวนหวดมากกว่าถูกเฆี่ยนก่อน นักโทษคนอื่นที่มีคิวการเฆี่ยนในวันนั้นก็จะได้รับเกียรติให้ฟังเสียงร้องของคนที่กำลังถูกเฆี่ยน เป็นผลทางจิตวิทยา
คนที่ได้รับมากกว่าสามหวด เมื่อเสร็จสิ้น ร่างกายมักเกิดภาวะช็อก
หลังเฆี่ยนเสร็จ จะได้รับครีมฆ่าเชื้อไปทาแผล และได้รับยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ
นักโทษต้องนอนคว่ำไปหลายวันหรือเป็นอาทิตย์
แผลจะหายราวไม่เกินหนึ่งเดือน แต่แผลใจดำรงไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะถูกเฆี่ยน 3 ทีหรือ 24 ที มันจะเป็นฝันร้ายไปตลอดชีวิต การรอการเฆี่ยน การเฆี่ยน การรักษาแผล กินเวลานาน และสร้างผลทางจิตวิทยาอย่างสูง ทำให้เข็ดหลาบ
ออกจากคุกไป ก่อนจะเอื้อมมือไปลวนลามหญิงสาวคนใด ก็อาจต้องคิดใหม่ เพราะเจ็บแบบนี้ จำได้แน่นอน
ในหลายประเทศ คนมีเงินไม่ค่อยกลัวการทำความผิด เพราะเงินซื้อได้ทุกอย่าง และมีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่าปรับ แต่หากเจอไม้เรียว ไม่มีใครเอาด้วย
ไม่รู้พวกนักสิทธิมนุษยชนจะออกมาว่าอะไรหรือเปล่า
วินทร์ เลียววาริณ
5-11-25(อ่านเรื่องการลงโทษในสิงคโปร์เพิ่มเติมได้จาก สร้างชาติจากศูนย์
https://www.winbookclub.com/store/detail/248/สร้างชาติจากศูนย์
Shopee https://shopee.co.th/product/90206829/29061345680/2 วันที่ผ่านมา -

สมัย 40-50 ปีก่อนเมืองไทยมีนักเขียนมาก และมีนักเขียนอาชีพมากพอควร
วันนี้เราก็ยังมีนักเขียนมาก แต่น่าจะมีนักเขียนอาชีพจริงๆ นับตัวได้
เวลาใช้คำว่า 'นักเขียนอาชีพ' ผมหมายถึงนักเขียนที่กินข้าวทุกมื้อด้วยเงินที่ได้มาจากการเขียนหนังสือ ไม่ใช่มาจากมรดก ค้าขาย เล่นหุ้น หรือประกอบอาชีพอื่นๆ
สมัยก่อนบ้านเรามีนักเขียนอาชีพเยอะทีเดียว
'รงค์ วงษ์สวรรค์ และ กฤษณา อโศกสิน เคยเล่าให้ฟังว่า พวกเขาสร้างบ้าน ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบด้วยเงินที่ได้มาจากการเขียนหนังสืออย่างเดียว
การทำเช่นนั้นได้ต้องมีวินัยและการจัดการเวลาระดับสูงสุด
วันนี้การหาข้าวทุกมื้อกินด้วยเงินที่ได้มาจากการเขียนหนังสือยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธุรกิจหนังสือโดยเฉพาะวรรณกรรมกำลังเป็น sunset business
ไม่ได้บอกว่าคนรุ่นใหม่เป็นนักเขียนอาชีพไม่ได้ แต่ไม่ง่าย
ทางที่ดีทำอย่างที่ปรมาจารย์ อาจินต์ ปัญจพรรค์ สอนดีกว่า นั่นคือหาอาชีพหลักสักอาชีพ มาเลี้ยงตัว แล้วค่อยๆ เขียนหนังสือไป วิธีนี้ก็จะไม่เครียดเกินไปตอนไม่มีอะไรกิน
นะจ๊ะ!
วินทร์ เลียววาริณ
6-11-252 วันที่ผ่านมา -

ลองมาวิเคราะห์ความวิตกกังวลของคนกัน ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริง เผื่ออาจทำให้ใครลดความกังวลลงบ้าง
ข้อ 1 การกังวลในเรื่องของอนาคตก็คือการใช้เวลาไม่เป็น คือจ่ายเวลาในวันนี้ไปกับเรื่องที่อาจไม่เกิดขึ้น มันก็คือการจ่ายบัตรเครดิตแห่งชีวิตล่วงหน้า
ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง
ข้อ 2 ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจ เพราะใจเป็นตัวปรุงแต่งมันขึ้นมา ไม่ปรุงแต่งก็ไม่เกิดทุกข์หรือสุข ควรมีสติกำกับการปรุงแต่งแต่ละครั้งเสมอ
ข้อ 3 เราต้องรับผิดชอบสภาพร่างกายและจิตใจของเราเอง ถ้าเราไม่มีความสุข อย่าโทษคนอื่นหรือสภาพแวดล้อม
เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขตลอดเวลาที่เหลือนับจากนาทีนี้ รักษาร่างกายให้แข็งแรง รักษาสภาพจิตให้ผ่องใส ทำใจให้ร่าเริง ใช้ชีวิตให้สนุก เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว
ข้อ 4 การกังวลเรื่องของพรุ่งนี้เท่ากับการกู้ยืมเวลาของวันนี้ไปใช้ล่วงหน้า โดยเสียดอกเบี้ยคือเวลาของวันนี้ เป็นการใช้ทรัพยากรเวลาที่ไม่ฉลาดนัก
อย่าเพิ่งกังวลเรื่องของพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้
ถ้าเราไม่อาจเปลี่ยนเรื่องที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้ได้ในวันนี้ ก็อย่าเสียเวลาวันนี้ รอให้พรุ่งนี้เกิดปัญหาขึ้น แล้วค่อยว่ากัน
Don't worry, be happy!
วินทร์ เลียววาริณ
6-11-25จาก บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง
90 บทความกำลังใจสั้นๆ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 2 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/147/บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง2 วันที่ผ่านมา
