-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
วันนี้เมื่อ 127 ปีก่อน (26 มีนาคม 2439) มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย
มันเป็นวันเปลี่ยนทิศไทย
มันเป็นเวลาสามปีหลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เมื่อฝรั่งเศสยกทัพเรือเข้ามาถึงใจกลางกรุงเทพฯ จ่อปืนใหญ่ไปที่พระราชวัง เรียกร้องทั้งดินแดนและเงินทอง
เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ฝ่ายไทยพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง จำยอมจ่ายเงินทองและเสียดินแดนเพื่อรักษาเอกราชของชาติ
เงินที่จ่ายหมาป่าฝรั่งเศสส่วนหนึ่งเป็นเหรียญนก (เงินถุงแดง) จากท้องพระคลังซึ่งสะสมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จำนวน 801,282 เหรียญ หนักถึง 23 ตัน เจ้าหน้าที่ขนเหรียญนกออกจากวังทางประตูต้นสน ไปลงเรือที่ท่าราชวรดิฐทั้งกลางวันและกลางคืน ทหารฝรั่งเศสก็ขนเงินต่อไปที่ไซ่ง่อน
มากจนนับไม่ไหว ต้องใช้ชั่งน้ำหนักเอา
บันทึกฝรั่งเศสเขียนว่า “ด้วยนายทหารฝรั่งเศสเพียง 50 นาย ทหารญวน 150 นาย และผู้เชี่ยวชาญทางปืนใหญ่อีก 4-5 นาย ก็สามารถยึดสยามทั้งประเทศไว้ได้สำเร็จ”
การเสียดินแดนสยามจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้นทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักว่า ท่ามกลางฝูงหมาป่า ไม่มีผู้ใดช่วยเราได้ เราต้องมีแผนการที่ดีเพื่อรักษาเอกราชของชาติ
ทรงวางแผนสองเรื่อง
เรื่องแรกคือเสด็จประพาสยุโรป เพื่อหาพันธมิตรมาคานอำนาจหมาป่าฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็คือซาร์ นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย เรื่องที่สองคือปรับปรุงเส้นทางคมนาคมของสยามให้ดีขึ้น พร้อมรับมือกับข้าศึกได้เร็วขึ้นและทันท่วงที นั่นคือสร้างทางรถไฟ
ความจริงห้าปีก่อนเหตุการณ์ ร.ศ. 112 คือปี 2431 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะสร้างทางรถไฟสายเหนือระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เป็นทางสายแรก เพื่อประโยชน์ด้านการค้ากับจีนตอนใต้ แต่การแผ่อำนาจของฝรั่งเศสที่ครองอินโดจีนและคิดยึดไทย ทำให้เห็นควรสร้างเส้นทางอีสานก่อน
บริษัทสำรวจทำแผนเสร็จในปี 2433-4 ทางการไทยก็มอบแผนให้วิศวกรชาวเยอรมัน คาร์ล เบธเกอ (Karl Bethge) ไปศึกษาและประเมิน
ฝ่ายไทยโชคดีมากที่ได้ คาร์ล เบธเกอ มาทำงานนี้ เพราะวิศวกรชาวเยอรมันผู้นี้มีประสบการณ์ทำงานการรถไฟมาหลายประเทศ เช่น สายเซมเมอริงและเบรนเนอร์ สายกอทฮาร์ดสายเซอร์เบีย หลังจากนั้นก็ทำงานกับบริษัทครุปป์ (Krupp) เพื่อไปสร้างทางรถไฟในประเทศจีน แต่ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศทำให้ไม่มีโอกาสทำงานในจีน บริษัทครุปป์จึงส่งเขามารับงานในสยาม
คาร์ล เบธเกอ เดินทางถึงเมืองไทยในปี 2434 ก็เป็นเวลาเดียวกับที่การสำรวจโดยบริษัทอังกฤษเสร็จพอดี
คาร์ล เบธเกอ ยังจ้างวิศวกรอีกคนหนึ่งคือ แฮร์มันน์ เกียร์ทส์ (Hermann Gehrts) มาช่วยงาน ทั้งสองเดินทางจากเยอรมนีไปสยามด้วยกันในปี 2436 เมื่อถึงสิงคโปร์ ก็โดยสารเรือกลไฟมหาวชิรุณหิศไปสยาม
เมื่อถึงเมืองไทยก็พบว่าหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Bangkok Times และ Siam Free Press ของพวกอังกฤษเขียนเรื่องโจมตีวิศวกรเยอรมันที่มาทำรถไฟไทย รวมทั้งสบประมาทเกียร์ทส์และไวเลอร์ที่เพิ่งมาถึง
เกียร์ทส์กับไวเลอร์มาถึงสยามในปีที่เกิดเหตุ ร.ศ. 112 พอดี ทำให้เห็นพระปรีชาสามารถและการทอดพระเนตรไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเลือกสร้างสายอีสานก่อน
หลังจากศึกษาพิจารณาเส้นทางยาว 265 กิโลเมตรนี้ คาร์ล เบธเกอ มองเห็นทางที่จะสร้างทางรถไฟในราคาถูกกว่าข้อเสนอเดิมมาก รัชกางที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมรถไฟขึ้น ทรงแต่งตั้ง คาร์ล เบธเกอ เป็นเจ้ากรมรถไฟ หลังจากนั้นก็เปิดประมูลสร้างทางรถไฟสายนี้
ในปี 2439 การก่อสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ - นครราชสีมา แล้วเสร็จในช่วงกรุงเทพฯ - อยุธยา ให้บริการได้
ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-อยุธยา ระยะทาง 71 กม. (ตามรูป)
วันที่ 26 มีนาคมจึงเป็นวันสถาปนากิจการรถไฟ
คนไทยจำนวนมากในยุคหลังรัชกาลที่ 5 มองรถไฟเป็นแค่พาหนะเดินทาง ไม่รู้ว่ามันเป็นยุทธศาสตร์ต้านหมาป่า
ท่ามกลางฝูงหมาป่า สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกระทำยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง ปราศจากกุศโลบายของพระองค์ ประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ธงชาติและเพลงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย
วินทร์ เลียววาริณ
26 มีนาคม 2566...............
หมายเหตุ เรื่องที่เล่ามานี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความพิเศษที่ผมเขียนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชื่อ ร้อยเหตุการณ์บนทางรถไฟ จะตีพิมพ์ในวารสารรถไฟสัมพันธ์ฉบับพิเศษสองฉบับในปีนี้ แจกฟรี
ผู้อ่านที่สนใจสามารถเขียนไปขอได้ที่ kulwadee.na@gmail.com หรือทางไลน์ kulwadee.na
0- แชร์
- 251
-
“ทฤษฎีสัมพัทธภาพของผมอธิบายง่ายมาก ถ้าคุณนั่งบนเตาถ่านร้อน หนึ่งนาทีนานเท่าหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณนั่งกับหญิงสาวสวย หนึ่งชั่วโมงนานเหมือนหนึ่งนาที”
นี่เป็นคำพูดของไอน์สไตน์ อธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา... ใช่ไหม?
ไม่ใช่ ไอน์สไตน์ไม่เคยพูด
นี่เป็นหนึ่งในหลายคำพูดที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นของไอน์สไตน์บ่อยที่สุด แต่เขาไม่ได้พูด
มันไม่ใช่การอำ เป็นแค่การอ้างผิด และเนื่องจากเป็นสาธกที่ดี คนก็จำได้ และยิ่งอ้างกัน มันก็กลายเป็นคำของไอน์สไตน์ไปโดยปริยาย
ผมเองก็เคยอ้างผิดเสียหลายครั้ง สมัยที่ยังเขียนหนังสือโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลทุกเรื่อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรีเสิร์ชเพื่อเขียนหนังสือ
ในยุคที่การอ้างอิงมักทำในรูปของ cut & paste โอกาสหลุดจึงมีสูง คนธรรมดาอ้างผิดคงไม่เป็นไร แต่ถ้าจะเขียนหนังสือหรือตำรา ต้องระวังหน่อย
ที่พูดถึงเรื่องนี้เพราะมีคนส่งคลิปเกี่ยวกับศาสนาโดยอ้างอิงคำพูดของไอน์สไตน์ ทำนองว่าไอน์สไตน์ยอมรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่
ไอน์สไตน์พูดเรื่องพระเจ้าบ่อยมาก บางครั้งบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่เป็นคนละบริบท คนละเจตนา ดังนั้นจึงเอาไปอ้างอิงเพื่อรองรับพระเจ้าในศาสนาไม่ได้ เพราะพระเจ้าของไอน์สไตน์ไม่ใช่พระเจ้าของศาสนาคริสต์ และเขาก็พูดหลายครั้งว่า เขาไม่เชื่อพระเจ้าที่ให้รางวัลและลงโทษมนุษย์
ทางฝั่งพุทธก็มีคนอ้างเสมอ ๆ ว่า ไอน์สไตน์ว่าพุทธศาสนายิ่งใหญ่ ถ้าจะนับถือศาสนา ก็จะนับถือพุทธ ไอน์สไตน์ไม่ได้บอกอีกเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าหลายคนชอบตั้งธงก่อนว่าจะพูดอะไร แล้วหาหลักฐานมารองรับ มองไปมองมาก็เอาไอน์สไตน์เป็นพวกน่าจะดีที่สุด
ลองคิดอีกมุมหนึ่งว่า สมมุติว่าคนพูดประโยคเดียวกันเป็นฮิตเลอร์ จะยังมีคนนำคำนั้นไปอ้างไหม
ภาพของไอน์สไตน์คืออัจฉริยะชั้นเลิศของโลก ถ้าได้มาเป็นพวก ก็จะทำให้งานหนักแน่นขึ้นมาก
แต่ปัญหาคือ แม้หลาย ๆ คำที่ไอน์สไตน์พูดจริง ไม่ใช่ในบริบทที่นำไปอ้าง
ไอน์สไตน์เองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า มีคนเอาคำพูดของเขาไปแปลงใหม่จนผิดเจตนาของเขา ทำให้เขาหงุดหงิด
อีกประเด็นหนึ่งคือ ไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็เป็นคนธรรมดา โง่มาก่อนฉลาด คำพูดของเขาสมัยที่ยังไม่ดังและความคิดยังอยู่ในระดับหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง ถึงช่วงท้ายก็ต่างกันออกไปบ้าง ถือว่าเป็นพัฒนาการทางความคิดของเขา
การยกคำมาอ้าง ต้องเข้าใจบริบทและที่มาด้วย
ปัญหาคือเราเป็นพวกขี้เกียจตรวจสอบ
ในเรื่องนี้รู้สึกเป็นห่วงเด็กไทยจริง ๆ ถ้าเราไม่สอนเด็กให้วิเคราะห์เป็น ประเทศแย่แน่
วินทร์ เลียววาริณ
13-9-25จากหนังสืออีบุ๊ค #ปล่อยให้ตัวเลขอายุพาไป
จำหน่ายที่ The Meb1 วันที่ผ่านมา -
การเมืองไทยถึงจุดหักเหเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อสามก๊ก (พรรค) ต้องเลือกว่าใครจะจับมือกับใคร
ระหว่างศัตรูสองคน จะเลือกเข้้ากับศัตรูคนไหน
ในที่สุดเมืองไทยก็ได้นายกฯคนใหม่ ทั้งที่ผู้สนับสนุนรายใหญ่ถือคะแนนเสียงมากกว่า
นี่ทำให้นึกถึงฉากหนึ่งของ สามก๊ก ตอนขงเบ้งส่งเตงจี๋ไปทาบทามซุนกวนเป็นพันธมิตร
แต่เวลานั้นฝ่ายขงเบ้งกับซุนกวนเป็นศัตรูกัน
ขงเบ้งบอกเตงจี๋ว่า “เมื่อพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ พระเจ้าโจผีทรงรู้ว่าเราอ่อนแอลง จะถือโอกาสยกทัพมาตีเรา แต่โจผีก็เกรงว่าซุนกวนจะตลบหลัง”
เตงจี๋กล่าว “ดังนั้นโจผีจะเชื่อมสัมพันธ์กับซุนกวน”
“ถูกแล้ว เป้าหมายเพื่อยึดเสฉวน หากสำเร็จก็แบ่งกัน ทว่าทั้งสองฝ่ายก็จะเป็นพันธมิตรหอกข้างแคร่ ซุนกวนจะรอให้โจผีรุกเสฉวนก่อนเพื่อซื้อเวลา แล้วเฝ้าดูผล”
“เราควรทำอย่างไร?”
“เจ้าจำเวลาที่เราเดินทางมาได้หรือไม่? เราทำเช่นไรเมื่อพบทางขาด?”
“หาสะพานใหม่”
“ถูกแล้ว”
“เชื่อมสะพานกับวุยก๊ก?”
“หามิได้ เชื่อมสะพานกับง่อก๊ก”
“เป็นไปได้อย่างไร? ซุนกวนสั่งประหารกวนอู เป็นแค้นที่มิอาจลืมได้”
“การเมืองไม่มีคำว่าแค้นที่มิอาจลืมได้ มิมีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ หากผลประโยชน์เหมาะสม”
“ท่านจะส่งผู้ใดไปเจรจากับซุนกวน?”
“เจ้าเอง เจ้าจะเป็นสะพาน”
“ข้าพเจ้ายังเด็กนัก ซุนกวนจะไม่เชื่อถือ”
“สะพานใหญ่สะพานเล็กก็คือสะพาน! ถึงจุดนี้ สะพานสำคัญกว่ารถม้า”
ขงเบ้งรู้ดีว่าเตงจี๋อายุน้อยก็จริง แต่มีความรู้ด้านยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างก๊กอย่างดีเยี่ยม
การทูตครั้งนี้เป็นการฟื้นฟูสัมพันธภาพใหม่ ภายหลังจากสองฝ่ายบาดหมางอย่างลึกล้ำ เพราะซุนกวนสั่งประหารกวนอู และทำลายทัพเล่าปี่พินาศ ทำให้พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ด้วยความตรอมพระทัย
ฝ่ายกังตั๋งเมื่อได้ข่าวว่าขงเบ้งส่งเตงจี๋เป็นทูตมาเจรจา เตียวเจียวที่ปรึกษารู้เจตนาของขงเบ้ง จึงเสนอว่าควรหาทางปิดปากเตงจี๋ โดยขู่ฆ่า สั่งตั้งกระทะใบใหญ่เคี่ยวน้ำมันเดือดที่หน้าท้องพระโรง จัดทหารรูปร่างสูงใหญ่ถืออาวุธ ข่มขู่ทูตของขงเบ้ง
เตงจี๋เข้าเฝ้า แล้วกล่าวว่า “กังตั๋งกลัวข้าพเจ้าขนาดนี้หรือ จึงตั้งกระทะทองแดงน้ำมันเดือดขู่”
พระเจ้าซุนกวนตรัสว่า “ที่แท้ท่านมาขอให้เราเลิกเป็นพันธมิตรกับโจผี และชวนเราเข้ากับเสฉวนจริงหรือไม่?”
เตงจี๋ตอบว่า “จริง แต่กังตั๋งจะได้รับประโยชน์มากกว่าที่ร่วมกับวุยก๊ก หากร่วมกับโจผี เมื่อชนะ โจผีก็จะยกทัพมาจัดการยึดกังตั๋ง กังตั๋งและเสฉวนสมควรเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ มาร่วมมือกันปราบโจผี”
เตงจี๋เจรจาจนพระเจ้าซุนกวนตัดสินพระทัยเป็นพันธมิตรกับจ๊กก๊ก ทรงแต่งตั้งเตียวอุ๋นเป็นทูตพิเศษ เดินทางไปเสฉวนพร้อมกับเตงจี๋ เพื่อคุยรายละเอียดการร่วมพันธมิตร
ไม่มีขุนนางกังตั๋งคนใดคาดว่าพระเจ้าซุนกวนจะทรงแต่งตั้งขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นเตียวอุ๋นเป็นทูต แต่พระเจ้าซุนกวนทรงมีประวัติกล้าแต่งตั้งคนหนุ่ม ทำหน้าที่สำคัญมาก่อน เช่น ลิบอง ลกซุน
เล่าเสี้ยนกับขงเบ้งต้อนรับเตียวอุ๋นอย่างสมเกียรติ หลังจากนั้นคู่แค้นก็็เจรจาความเมืองกัน
พันธมิตรเริ่มต้นอีกครั้ง ประสานหยกแตกร้าวเข้ากันอีกครั้ง
การทูตของเตงจี๋ประสบความสำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างสองแผ่นดินราบรื่น พระเจ้าซุนกวนทรงโปรดปรานเตงจี๋ เป็นทูตที่ประสบความสำเร็จดียิ่งคนหนึ่ง
....................
หลังเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจ๊กก๊กกับง่อก๊ก พระเจ้าซุนกวนตรัสถามเตงจี๋ว่า ถ้าเราสองฝ่ายปราบพระเจ้าโจผีสำเร็จ ระหว่างผู้นำเสฉวนกับกังตั๋ง จะให้ใครเป็นฮ่องเต้
เตงจี๋ตอบว่า “ท้องฟ้ามิมีตะวันสองดวงฉันใด แผ่นดินก็มิอาจมีฮ่องเต้สองพระองค์ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต การณ์ภายหน้าสุดแต่ฟ้ากำหนด”
พระเจ้าซุนกวนรับสั่งว่า “ท่านพูดจาตรงไปตรงมาดี เราชอบ”
ผู้นำแห่งสามก๊กสลับบทบาทระหว่างมิตรกับศัตรูเรื่อย ๆ
เส้นแบ่งระหว่างมิตรกับศัตรูรางเลือน
วินทร์ เลียววาริณ
12 กันยายน 2568..........................
ย่อความมาจาก สามก๊ก ฉบับ วินทร์ เลียววาริณ และ สามก๊กบนเส้นขนาน
เล่มแรกคือเล่า สามก๊ก ใหม่ด้วยลีลาเฉพาะตัวของนักเขียน เล่มหลังเป็นหนังสือแนวประวัติศาสตร์เปรียบเทียบไทยกับจีน เล่าเรื่องที่คนไทยทุกคนน่าจะรู้ การเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในสามก๊ก อาจจะช่วยให้เข้าใจกลไกและโครงสร้างทางการเมืองของเราชัดเจนขึ้น
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/155/สามก๊กบนเส้นขนาน%20%28ปกอ่อน%29
โปรโมชั่นแพ็คคู่สุดคุ้ม https://www.winbookclub.com/store/detail/246/โปรโมชั่นแพ็คคู่%20สามก๊ก%2520ฉบับ%20วินทร์%20เลียววาริณ%20+%20สามก๊กบนเส้นขนาน
1 วันที่ผ่านมา -
มีจุดหนึ่งของการเกิดมาในครอบครัวตะวันออกที่ผมมองไม่เห็น จนกระทั่งไปใช้ชีวิตในตะวันตก นั่นคือการที่ผู้ใหญ่เอ่ยคำขอโทษ คำชม และคำขอบคุณต่อเด็กไม่เป็น (นี่เป็นเพียงข้อสังเกตจากประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น)
หลายคนพูดจากับคนแปลกหน้าไพเราะกว่าพูดกับสมาชิกในครอบครัว ยิ้มให้กับคนที่เขาไม่รู้จักกันดีอย่างดี แต่ไม่ยิ้มให้คู่ครองที่อยู่ด้วยกันมานานยี่สิบสามสิบปี
แปลกไหม?
ธอมัส เมอร์ตัน ชาวตะวันตกคนหนึ่งผู้ลุ่มหลงชีวิตตะวันออก เขียนในหนังสือปรัชญาเต๋าเล่มหนึ่งว่า เมื่อเราเดินไปในตลาดพลุกพล่าน เผลอเหยียบเท้าใครคนหนึ่ง เรารีบเอ่ยว่า "ขอโทษ" และให้เหตุผล แต่เมื่อเหยียบเท้าลูก เรากลับเงียบกริบ
นี่อาจเป็นพฤติกรรมที่ฝังรากมาจากความเชื่อที่ว่า ผู้ใหญ่ย่อมไม่ผิด ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน
บางครั้งการเอ่ยคำ "ขอโทษ" นั้นยากเย็นยิ่ง ราวกับว่าศักดิ์ศรีของตนถูกลดทอน หรือเป็นการเผยว่าตนเองโง่เง่าจนผิดพลาด
ทว่าการพลาดพลั้งยังดีกว่าการไม่เคยพลั้งพลาด และการกล้ายอมรับว่าตนผิดย่อมดีกว่าการดื้อดึง เพียงเพื่อรักษาหน้าตาหรือศักดิ์ศรี
มารยาทที่แท้ย่อมรักษาความสม่ำเสมอ และไม่มีข้อแม้ใด ๆ
ผมเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า บางครั้งการชิงเอ่ย "ขอโทษ" ก่อน ทั้งที่เราไม่ผิด ช่วยลดอุณหภูมิความเครียดระหว่างสองฝ่ายได้อย่างน่าอัศจรรย์
การเอ่ยคำชมและบอกรักคนอื่นก็อยู่ในข่ายเดียวกัน
คนจำนวนมากรู้สึกเขินเมื่อต้องบอกรักผู้อื่น คนอีกไม่น้อยมองไม่เห็นว่าทำไมต้องชมคนอื่น บางคนบอกว่าชื่นชมในใจก็พอแล้ว
พวกเขาลืมไปว่า ไม่มีใครได้ยินคำชมที่อยู่ในใจ
คำชมและคำบอกรักเป็นของฟรี ให้คนอื่นมากเท่าไร ก็ไม่มีวันหมดจากคลังหัวใจ
ภาษิตฝรั่งบอกว่า Don't wait until people are dead to give them flowers.
รู้จักชมคนบ้าง เพราะบางครั้งการชมผู้อื่นมีค่ามากกว่าสินจ้างรางวัล
การบอกรักผู้อื่น โดยไม่ต้องรอโอกาสพิเศษคือความพิเศษอย่างหนึ่ง
สัมมาวาจาก็เช่นน้ำเย็น พรมใส่ต้นไม้ นอกจากจะสร้างความชุ่มฉ่ำต่อใบหรือดอก ยังไหลย้อยลงดินเป็นอาหารแก่ราก
ชีวิตมีความงดงามก็ตรงที่เรารู้จักเติมน้ำดีใส่ลงไปในหัวใจอยู่เรื่อย ๆ
วินทร์ เลียววาริณ
12-9-25......................
จาก รอยเท้าเล็ก ๆ ของเราเองหนังสือเสริมกำลังใจ 46 บทความ 175 บาท เรื่องละ 3.8 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/108/รอยเท้าเล็กๆ%20ของเราเอง%20เวอร์ชั่น%202
เซ็ทโปรโมชั่นพิเศษ
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%204
Shopee
https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
กาตาร์เป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯในตะวันออกกลาง เมื่อสี่เดือนก่อน กาตาร์ต้อนรับประธานาธิบดีทรัมป์อย่างดีเยี่ยม และมอบเครื่องบิน 'แอร์ ฟอร์ช วัน' ให้หนึ่งลำ
ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความยินดีที่จะได้เครื่องบินใหม่
เห็นชัดว่ากาตาร์น่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะพี่เบิ้มคุ้มครอง
เมื่อวานนี้อิสราเอลยิงจรวดที่พี่เบิ้มให้มา ถล่มเมืองโดฮาในกาตาร์ "เพื่อฆ่าพวกฮามาส"
ฮามาสห้าคนที่ถูกฆ่าเป็นทีมเจรจาสันติภาพ มาคุยกับนายกฯกาตาร์
นี่เป็นเหตุการณ์ที่หลายคน หลายฝ่าย หลายประเทศต้องประเมินใหม่ เพราะนี่คือข้อมูลใหม่ที่ต้องพิจารณา
1 การเป็นชาติพันธมิตรกับพี่เบิ้ม ให้พี่เบิ้มตั้งฐานทัพ และไม่ใช่ชาติศัตรูของอิสราเอล ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัยจากการโดนถล่ม
2 การเป็นเจ้าภาพเจรจาสันติภาพก็มีความเสี่ยงได้
3 การมอบ 'แอร์ ฟอร์ช วัน' เป็นของขวัญพี่เบิ้ม ไม่ได้รับประกันความปลอดภัย
แต่สัญญาจะว่าให้ ก็ต้องให้นะ ห้ามเปลี่ยนใจ
วินทร์ เลียววาริณ
11-9-252 วันที่ผ่านมา -
(หมายเหตุ วันก่อนพูดถึงบทบาทของโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สอง และเปรยถึงหนังเกี่ยวกับยุทธภูมิสตาลินกราดคือ Enemy at the Gates นึกได้ว่ายังไม่เคยรีวิว ก็ทำเสียวันนี้)
ผมดูหนังของ Jean-Jacques Annaud เรื่องแรกคือ Quest for Fire (1981) ที่นิวยอร์ก ตามมาด้วย The Name of the Rose (1986) ชอบทั้งคู่
Quest for Fire เป็นเรื่องเกี่ยวมนุษย์เมื่อแปดหมื่นปีก่อน คนสมัยนั้นใช้ชีวิตแบบดิบๆ มีฉากร่วมเพศแบบห่ามๆ นึกจะมีเซ็กซ์ ก็ทำตอนนั้นตรงนั้นเลย ไม่สนใจว่าจะมีใครดู เพราะมันเป็นยุคก่อนที่มนุษย์ประดิษฐ์คำว่าศีลธรรมและศาสนา
หนังของ Jean-Jacques Annaud ที่มีฉากเซ็กซ์อีกเรื่องคือ The Lover (1992) ละเมียดละไมกว่ามาก แต่หมิ่นเหม่ต่อมาตรฐานศีลธรรมของสังคม ผมดูมากกว่าหนึ่งรอบ เพื่อตรวจสอบว่าดูเรื่องครบถ้วนไหม (เป็นคนรอบคอบ!)
อีกเรื่องหนึ่งสวนทางแนวเซ็กซ์ มาทางแนวจิตวิญญาณ คือ Seven Years in Tibet (1997) แบรด พิตต์ ยังหนุ่มฟ้อ
ก็มาถึงหนังสงคราม Enemy at the Gates (2001)
Enemy at the Gates เป็นหนังที่ได้คะแนนไม่สูง ทำเงินไม่มาก และโดนนักประวัติศาสตร์รุมสับเละว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์
ก็กลับมาที่ประเด็นถกเดิมๆ คือ หนังอิงประวัติศาสตร์ต้องตรงตามประวัติศาสตร์แค่ไหน
ในความเห็นส่วนตัวของผม นิยายอิงประวัติศาสตร์ก็คือนิยายอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สารคดี ดังนั้นจะทำอะไรก็ทำ หนังไม่มีหน้าที่ต้องสอนคนดู คนดูต้องไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเอาเอง อย่าว่าแต่เราจะสรุปว่าอะไรคือประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องอย่างไร
Enemy at the Gates อิงประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งของยุทธการสตาลินกราด ซึ่งเป็นยุทธภูมิที่อาจโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คนตายไปมหาศาล
หนังอิงเกร็ดหนึ่งของสงครามคือ นอกจากยิงกันตรงๆ แล้ว ยังมีการใช้นักแม่นปืน (สไนเปอร์)
ในเมื่อโซเวียตต้านนาซีไม่ได้ ก็ใช้กลยุทธ์ตัดกำลัง คือลอบยิงนายหทารชั้นสูง
เนื่องจากยุทธการสตาลินกราดรบกันในเมือง กลางซากปรักหักพัง ไม่ใช่พื้นที่ราบหรือท้องทุ่ง หน่วยแม่นปืนจะลอบเข้าไปในซากเหล่านั้น แล้วรอคอยเหยื่อ จะเลือกยิงเฉพาะนายทหารเยอรมันชั้นหัวหน้า ทหารคนไหนติดเหรียญกางเขนเหล็กที่แสดงว่าเป็นทหารชั้นดี ก็จะเด็ดหัวทันที
ตัวหลักสไนเปอร์โซเวียตที่ล่าหัวนาซีในเรื่องคือ วาสิลี ไซเซฟ (Vasily Zaitsev) เป็นบุคคลจริง ในเรื่องนี้เขาต้องต่อกรกับสไนเปอร์นาซีชื่อ พันตรี เออร์วิน เคนิก (Erwin König) ซึ่งก็เป็นบุคคลจริงเช่นกัน เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอส
วาสิลี ไซเซฟ ในหนังจำลองบทโดย จูด ลอว์ ส่วน เออร์วิน เคนิก ในหนังจำลองบทโดย เอ็ด แฮร์ริส
จูด ลอว์ ดูหล่อกว่าตัวจริงมาก ส่วน เอ็ด แฮร์ริส ในบทนี้ดูดี แววตาเหมาะสมกับนักฆ่าเลือดเย็น
ตามหลักฐานที่มี ทั้งสองคนดวลกันนานสามวัน กลางซากปรักหักพังของสตาลินกราด แต่เนื่องจากข้อมูลของการประลองกันครั้งนี้ไม่ชัดเจน นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่า อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายโซเวียต ดังนั้นในหนังจึงเป็นเรื่องแต่ง และน่าจะผิดเพี้ยนไปจากความจริง
เราดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างเดียวคือในฐานะหนังสงคราม-ทริลเลอร์
มองในฐานะของหนังทริลเลอร์ หนังให้ความบันเทิงสูง คล้ายการชิงไหวพริบของสองตัวละคร เช่น The Driver, Heat ฯลฯ โดยใช้ฉากสงคราม
ฉากสงครามตอนต้นเรื่องทำได้ดี ผมดูในโรง จอใหญ่ให้ความรู้สึกตื่นตามากเหมือนตอนดูฉากสงครามเปิดเรื่อง The Gladiator เพราะคนดูส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นภาพยุทธการเลนินกราดมาก่อน
ในความเห็นส่วนตัวของผม จุดอ่อนของเรื่องอยู่ที่การเสียบพล็อต 'น้ำเน่า' เข้าไป ทำให้หนังเปลี่ยนโทนจากหนังทริลเลอร์เป็นเมโลดรามา
แต่โดยรวม Enemy at the Gates ก็ถือว่าเป็นงานสอบผ่าน
อ้อ! ฉากที่น่าประหวั่นที่สุดในเรื่องไม่ใช่ฉากรบ แต่คือฉากเซ็กซ์กลางกองทหาร
มิน่าล่ะพวกนักประวัติศาสตร์จึงบอกว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์
วินทร์ เลียววาริณ
11-9-258.8/10
ฉายทาง Netflix (ฉายอีกไม่กี่วัน ก็จะถูกถอดออกจากโปรแกรม)วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
2 วันที่ผ่านมา