• วินทร์ เลียววาริณ
    2 ปีที่ผ่านมา

    วันนี้เมื่อ 127 ปีก่อน (26 มีนาคม 2439) มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย

    มันเป็นวันเปลี่ยนทิศไทย

    มันเป็นเวลาสามปีหลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เมื่อฝรั่งเศสยกทัพเรือเข้ามาถึงใจกลางกรุงเทพฯ จ่อปืนใหญ่ไปที่พระราชวัง เรียกร้องทั้งดินแดนและเงินทอง

    เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ฝ่ายไทยพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง จำยอมจ่ายเงินทองและเสียดินแดนเพื่อรักษาเอกราชของชาติ

    เงินที่จ่ายหมาป่าฝรั่งเศสส่วนหนึ่งเป็นเหรียญนก (เงินถุงแดง) จากท้องพระคลังซึ่งสะสมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จำนวน 801,282 เหรียญ หนักถึง 23 ตัน เจ้าหน้าที่ขนเหรียญนกออกจากวังทางประตูต้นสน ไปลงเรือที่ท่าราชวรดิฐทั้งกลางวันและกลางคืน ทหารฝรั่งเศสก็ขนเงินต่อไปที่ไซ่ง่อน

    มากจนนับไม่ไหว ต้องใช้ชั่งน้ำหนักเอา

    บันทึกฝรั่งเศสเขียนว่า “ด้วยนายทหารฝรั่งเศสเพียง 50 นาย ทหารญวน 150 นาย และผู้เชี่ยวชาญทางปืนใหญ่อีก 4-5 นาย ก็สามารถยึดสยามทั้งประเทศไว้ได้สำเร็จ”

    การเสียดินแดนสยามจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้นทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักว่า ท่ามกลางฝูงหมาป่า ไม่มีผู้ใดช่วยเราได้ เราต้องมีแผนการที่ดีเพื่อรักษาเอกราชของชาติ

    ทรงวางแผนสองเรื่อง

    เรื่องแรกคือเสด็จประพาสยุโรป เพื่อหาพันธมิตรมาคานอำนาจหมาป่าฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็คือซาร์ นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย  เรื่องที่สองคือปรับปรุงเส้นทางคมนาคมของสยามให้ดีขึ้น พร้อมรับมือกับข้าศึกได้เร็วขึ้นและทันท่วงที  นั่นคือสร้างทางรถไฟ

    ความจริงห้าปีก่อนเหตุการณ์ ร.ศ. 112 คือปี 2431 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะสร้างทางรถไฟสายเหนือระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เป็นทางสายแรก เพื่อประโยชน์ด้านการค้ากับจีนตอนใต้ แต่การแผ่อำนาจของฝรั่งเศสที่ครองอินโดจีนและคิดยึดไทย ทำให้เห็นควรสร้างเส้นทางอีสานก่อน

    บริษัทสำรวจทำแผนเสร็จในปี 2433-4 ทางการไทยก็มอบแผนให้วิศวกรชาวเยอรมัน คาร์ล เบธเกอ (Karl Bethge) ไปศึกษาและประเมิน

    ฝ่ายไทยโชคดีมากที่ได้ คาร์ล เบธเกอ มาทำงานนี้ เพราะวิศวกรชาวเยอรมันผู้นี้มีประสบการณ์ทำงานการรถไฟมาหลายประเทศ เช่น สายเซมเมอริงและเบรนเนอร์ สายกอทฮาร์ดสายเซอร์เบีย หลังจากนั้นก็ทำงานกับบริษัทครุปป์ (Krupp) เพื่อไปสร้างทางรถไฟในประเทศจีน แต่ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศทำให้ไม่มีโอกาสทำงานในจีน บริษัทครุปป์จึงส่งเขามารับงานในสยาม

    คาร์ล เบธเกอ เดินทางถึงเมืองไทยในปี 2434 ก็เป็นเวลาเดียวกับที่การสำรวจโดยบริษัทอังกฤษเสร็จพอดี 

    คาร์ล เบธเกอ ยังจ้างวิศวกรอีกคนหนึ่งคือ แฮร์มันน์ เกียร์ทส์ (Hermann Gehrts) มาช่วยงาน ทั้งสองเดินทางจากเยอรมนีไปสยามด้วยกันในปี 2436 เมื่อถึงสิงคโปร์ ก็โดยสารเรือกลไฟมหาวชิรุณหิศไปสยาม

    เมื่อถึงเมืองไทยก็พบว่าหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Bangkok Times และ Siam Free Press ของพวกอังกฤษเขียนเรื่องโจมตีวิศวกรเยอรมันที่มาทำรถไฟไทย รวมทั้งสบประมาทเกียร์ทส์และไวเลอร์ที่เพิ่งมาถึง

    เกียร์ทส์กับไวเลอร์มาถึงสยามในปีที่เกิดเหตุ ร.ศ. 112 พอดี ทำให้เห็นพระปรีชาสามารถและการทอดพระเนตรไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเลือกสร้างสายอีสานก่อน

    หลังจากศึกษาพิจารณาเส้นทางยาว 265 กิโลเมตรนี้ คาร์ล เบธเกอ มองเห็นทางที่จะสร้างทางรถไฟในราคาถูกกว่าข้อเสนอเดิมมาก รัชกางที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมรถไฟขึ้น ทรงแต่งตั้ง คาร์ล เบธเกอ เป็นเจ้ากรมรถไฟ หลังจากนั้นก็เปิดประมูลสร้างทางรถไฟสายนี้

    ในปี 2439 การก่อสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ - นครราชสีมา แล้วเสร็จในช่วงกรุงเทพฯ - อยุธยา ให้บริการได้ 

    ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-อยุธยา ระยะทาง 71 กม. (ตามรูป)

    วันที่ 26 มีนาคมจึงเป็นวันสถาปนากิจการรถไฟ

    คนไทยจำนวนมากในยุคหลังรัชกาลที่ 5 มองรถไฟเป็นแค่พาหนะเดินทาง ไม่รู้ว่ามันเป็นยุทธศาสตร์ต้านหมาป่า

    ท่ามกลางฝูงหมาป่า สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกระทำยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง ปราศจากกุศโลบายของพระองค์ ประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

    ธงชาติและเพลงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย

    วินทร์ เลียววาริณ 
    26 มีนาคม 2566

    ...............

    หมายเหตุ เรื่องที่เล่ามานี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความพิเศษที่ผมเขียนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชื่อ ร้อยเหตุการณ์บนทางรถไฟ จะตีพิมพ์ในวารสารรถไฟสัมพันธ์ฉบับพิเศษสองฉบับในปีนี้ แจกฟรี

    ผู้อ่านที่สนใจสามารถเขียนไปขอได้ที่ kulwadee.na@gmail.com หรือทางไลน์ kulwadee.na 

    0
    • 0 แชร์
    • 229

บทความล่าสุด