• วินทร์ เลียววาริณ
    9 เดือนที่ผ่านมา

    ตั้งแต่เป็นเด็ก ผมก็สงสัยการดำรงอยู่ของตัวเอง สงสัยว่าเรามาได้ยังไง ทำไมเราจึงมีสติสัมปชัญญะแบบนี้ อย่างที่ผมเคยเล่าว่า ผมรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกโดยอยู่ในเปลือกของร่างกายมนุษย์

    จนโตเป็นหนุ่ม ก็ตั้งคำถามเสมอว่า ชีวิตมีความหมายหรือไม่ เราตื่นเช้าไปทำงาน พักเที่ยง ทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน ดูโทรทัศน์ นอน แล้วตื่นเช้าไปทำงาน ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ? มนุษย์เกิดมาเพื่อทำเรื่องซ้ำซากแค่นี้เองหรือ?

    หากคิดว่าผมกำลังพูดเรื่องเหลวไหล ผมก็คงไม่ใช่คนแรก เพราะแนวคิดนี้มีมานานหลายพันปีแล้ว

    ในโลกของปรัชญาโบราณ มีแนวคิดหนึ่งเรียกว่า Eternal Return หรือ Eternal Recurrence เสนอความคิดว่าจักรวาลเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับครั้งไม่ถ้วน แนวคิดนี้ไม่เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดใหม่หรือเรื่องเหนือธรรมชาติใด ๆ แค่บอกว่าชีวิตถูกกำหนดมาให้เดินซ้ำ ๆ กัน เกิดเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ กัน เช่นที่ผมเกริ่นว่า ตื่นเช้าไปทำงาน พักเที่ยง ทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน ดูโทรทัศน์ นอน แล้วตื่นเช้าไปทำงาน

    แนวคิดนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยอียิปต์กับอินเดียโบราณ ต่อมา Friedrich Nietzsche นำมาใช้เป็นความคิดสมมุติหรือการทดลองทางความคิดอย่างหนึ่งในหนังสือเรื่อง The Gay Science และ Thus Spoke Zarathustra

    แนวคิดนี้สืบต่อไปว่า ถึงแม้เราจะเจอเรื่องร้ายซ้ำ ๆ กัน ก็สามารถยอมรับมันได้ ที่เรียกว่า Amor Fati (รักชะตา)

    นีทเช่เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงกินขนมปัง เราต้องการความหมายในชีวิตเราด้วย

    สำหรับหลายคน การดำเนินชีวิตนั้นยากถ้าไม่มีความหมายหรือจุดหมาย เหมือนคนเดินเรือโดยไร้เข็มทิศ

    บ่อยครั้งเราปนเปตัวจริงของเรากับภาพลักษณ์ที่เราคิดว่าเราเป็น ทำให้เราไม่เป็นอิสระจริง ๆ เช่น “ถ้าฉันเป็นอาจารย์ ฉันก็เป็นปัญญาชน”

    “ถ้าฉันเรียนจบปริญญาโท ฉันก็ทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ไม่ได้”

    ดังนั้นจนกว่าเราจะเข้าใจว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่น อะไรคือเรื่องสมมุติ เราก็อาจยังไม่สามารถเข้าใจชีวิตจริง ๆ ได้

    มุมมองของผมเปลี่ยนไปมากหลังจากศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยา ผมรู้สึกว่าเหมือนว่าคำตอบอยู่ตรงนี้ วิทยาศาสตร์สายจักรวาลเป็นศาสตร์เดียวที่บอกเรื่องต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ดังนั้นหากจะรู้เรื่องมนุษย์จริง ๆ ก็ต้องศึกษาตั้งแต่กำเนิดจักรวาล หรือก่อนหน้านั้น

    ตัวละคร ‘ดารันต์’ ในเรื่องสั้น เดือนช่วงดวงเด่นฟ้าดาดาว ที่ผมเขียน กล่าวว่า “จงมองลึกเข้าไปในตัวท่านเอง ท่านจะพบกับจักรวาล และจงมองลึกเข้าไปในจักรวาล ท่านจะค้นพบตัวท่านเอง”

    นี่มิใช่คำพูดเล่นลิ้นหรือพล็อตพาไป เพราะในความจริงเราจะพบจักรวาลในตัวเราเองจริง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพราะเราทุกคนเคยเป็นดวงดาวมาก่อน  ทุก ๆ อะตอมที่ประกอบเป็นตัวเราก็คือธุลีดาวที่ลอยล่องท่องจักรวาลในอดีตกาล

    เซลล์ในร่างกายเราผลัดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 7-15 ปี แต่อะตอมที่ประกอบเป็นตัวเราดำรงอยู่มาตั้งแต่ช่วงต้นของจักรวาล ทุก ๆ อะตอมที่ก่อรูปเป็นตัวเรามีอายุนับหมื่นล้านปี บางอะตอมอาจเริ่มมาตั้งแต่ บิ๊ก แบง เมื่อ 13.8 พันล้านปีก่อน

    เราคือจักรวาล เราคือเนื้อเดียวกับจักรวาล เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขยายตัวของจักรวาล

    เราหายใจอากาศที่ไหลเวียนเปลี่ยนรูปมาตั้งแต่วันแรก ๆ ของจักรวาล เราสัมผัสจักรวาลในตัวเราอย่างเป็นรูปธรรม

    ใบไม้ทุกใบของต้นไม้มีอายุของมัน ช่วงเวลาของมันอาจจะสั้น รับแสงแดด เปลี่ยนเป็นชีวิต แต่เมื่อถึงวันหมดหน้าที่ มันก็เหี่ยวแห้งปลิดปลิว หลุดจากขั้วร่วงลงบนพื้นดิน กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นนั้น สืบทอดชีวิตต่อไป

    เราทุกคนก็เป็นใบไม้ใบหนึ่งบนมหาพฤกษาแห่งจักรวาล เมื่อถึงเวลาที่ใบไม้เราร่วง มันก็ร่วงลงไป กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นและใบไม้ใบอื่น ๆ ต่อไป

    ในอนาคตกาลไกลโพ้น เมื่อวันที่โลกทั้งใบของเราสลายไป เราก็อาจจะไปประกอบใหม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ หรือชีวิตใหม่ หรืออาจดำเนินต่อไปจนจักรวาลนี้สลายตัวไปด้วย แล้วเกิดจักรวาลใหม่

    เมื่อมองอย่างนี้ เราก็พบว่าร่างกายเราเป็นการประกอบกันชั่วคราว ส่วนจิตใจจะเป็นผลพลอยได้ (by-product) ของชีวิต หรือเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่มานานกว่านั้น เราไม่รู้ ที่เหลือนอกเหนือจากนี้ทั้งชีวิตเราเป็นเพียงมายาที่เราและสังคมสร้างขึ้นมา

    มองมุมนี้จะพบว่าเราไม่เคยเกิด เราไม่เคยตาย เราก็คือโลกทั้งใบ เราคือต้นไม้ เราคือก้อนเมฆ เราคือมหาสมุทร เราคือจักรวาล ไม่มีตัวกูของกู มีแต่จักรวาลโดยรวม เราโลดแล่นไปในบทเพลงของจักรวาล ชีวิตเราเป็นเพียงหนึ่งท่อนสั้น ๆ ของซิมโฟนีแห่งจักรวาล

    เราแค่ปรากฏรูปมนุษย์ชั่วคราว แล้วเราก็สลายรูปนั้นไปในวันหนึ่ง ไม่ช้านานเราก็ถูกลืม ไม่เป็นที่จดจำ อีโก้ทั้งหลายเป็นเพียงมายา ก่อรูปลวงตาเราชั่วคราว แล้วหายวับไป

    เราเป็นเพียงฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนฟันเฟืองของจักรวาลอีกที

    โลกของเราเป็นเพียงธุลีหนึ่งในทะเลแห่งเอกภพ เรามีขนาดเล็กนิดเดียว หากวัดจากสเกลของเรากับโลกกับจักรวาล เราไร้ความสำคัญใด ๆ ชีวิตเราสั้นมากเมื่อเทียบกับสเกลของจักรวาล เช่นเดียวกับที่แมลงเมย์ฟลายมีอายุสั้นมากเมื่อเทียบกับเรา แมลงเมย์ฟลายมีอายุเพียงหนึ่งวัน พวกมันจะถามหาความหมายหรือไม่ ในเมื่อพวกมันมีชีวิตสั้นเหลือเกิน? พูดง่าย ๆ คือยังไม่ทันตั้งหลักคิด ก็หมดหนึ่งวัน-หนึ่งชีวิตของแมลงชนิดนี้แล้ว

    จาก หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ / วินทร์ เลียววาริณ

    โปรโมชั่น Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/1LIFbnHXOK?share_channel_code=6

    เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/238/%28S10%29%20%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%20+%20%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%2015%20%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%20%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%9F%20%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B9%8C%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%20%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A2

    0
    • 0 แชร์
    • 71

บทความล่าสุด